"สตาร์เฟล็กซ์" กวาดรายได้ 477.5 ล้านบาท ทำนิวไฮใหม่ และมีกำไร 40.7 ล้านบาท พุ่งแตะ 203.7% เหตุบริหารจัดการวัตถุดิบล่วงหน้าดีเยี่ยมและตอบรับกลยุทธ์ขยายตลาดเชิงรุกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นสูง เน้นกลุ่มที่มีศักยภาพ พร้อมโชว์แผนการเข้าลงทุนในเวียดนาม เชื่อมั่นยกระดับบริษัทฯ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในโซนภูมิภาคอาเซียน
ดร.สมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (SFLEX) ผู้ผลิต และจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนชั้นนำในประเทศ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม 477.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 428.2 ล้านบาท โดยมีกำไรขั้นต้น 102.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 66.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรขั้นต้น 61.5 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 40.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 203.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.4 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 8.5%
“ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ทยอยฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2565 ขณะเดียวกันผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวมทำสถิติสูงสุดใหม่อีกด้วย เป็นผลมาจากต้นทุนราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลง จากราคาน้ำมันและผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีการบริหารจัดการวัตถุดิบล่วงหน้า พร้อมการทยอยปรับราคาขายให้เหมาะสมกับต้นทุน ประกอบกับแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง ซึ่งบริษัทมีความพร้อมทั้งทางด้านเครื่องจักร ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด”
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้โตแบบ Organic growth จากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 1,800-1,850 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 คาดว่าจะสามารถเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2566 จากกลยุทธ์การขยายตลาดเชิงรุกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นสูง ประกอบกับการมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (Medical) ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าช่วยผลักดันการเติบโตได้เพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อมุ่งสร้างความยั่งยืนของอัตรากำไรขั้นต้นให้มั่นคงในระยะยาว พร้อมกันนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าแผนการเข้าไปลงในบริษัท Star Print Vietnam Joint Stock Company หรือ SPV ประเทศเวียดนาม จะเป็นการยกระดับ SFLEX และเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน
อนึ่ง ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 ได้มีมติอนุมัติเพื่อเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2566 วันที่ 19 มิถุนายน 2566 ในการลงทุนซื้อหุ้นสามัญในบริษัท Star Print Vietnam Joint Stock Company หรือ SPV (ประกอบธุรกิจการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์) จำนวนไม่เกิน 1,536,720 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนและชำระแล้วของ SPV ในราคาซื้อขายไม่เกิน 262,500.00 ล้านเวียดนามด่อง หรือประมาณ 385.09 ล้านบาท ทั้งนี้ SFLEX จะเข้าร่วมกับบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือบริษัทย่อยของ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เพื่อทำธุรกรรมดังกล่าว
"การเข้าลงทุนในครั้งนี้เป็นไปตามแผนการขยายฐานธุรกิจไปต่างประเทศ และขยายฐานรายได้จากการส่งเสริมซึ่งกันและกัน เนื่องจาก SPV ประกอบธุรกิจการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ประเภทกระดาษคุณภาพสูงในประเทศเวียดนาม จึงเป็นการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ เนื่องจาก SPV มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งครอบคลุมทั้งในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และยุโรป เช่น Unilever, Colgate, Crayola, Mondelez, Nestle, Heineken, P&G และ Walmart เป็นต้น ซึ่งช่วยให้บริษัทฯ มีฐานลูกค้าในหลายภูมิภาคทั่วโลก อีกทั้งการได้ร่วมลงทุนกับ SCGP ซึ่งเป็นผู้นำตลาดบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรชั้นนำในครั้งนี้ยังเป็นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีช่วยต่อยอดโอกาสทางธุรกิจในอนาคต ส่งเสริมความสามารถในการผลิตทางบรรจุภัณฑ์ระหว่างกัน รวมถึงเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจมากขึ้นอีกด้วย" ดร.สมโภชน์ กล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา SFLEX ได้รับเกียรติและความไว้วางใจจากบริษัทใหญ่ที่มีคุณภาพระดับโลก ทั้งจากกลุ่ม TU ซึ่งทำให้บริษัทฯ ได้เข้าร่วมลงทุนกับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กราฟฟิกส์ จำกัด (TUG) เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) และดำเนินธุรกิจอื่นใดที่เกี่ยวข้องรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ใหม่ในอนาคต ตลอดจนการได้วางแผนเข้าร่วมลงทุนใน SPV ประเทศเวียดนาม ร่วมกับกลุ่ม SCGP ในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทฯ จะได้รับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมในการทำงานกับบริษัทระดับโลก เพื่อพัฒนาศักยภาพ ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และต่อยอดทางธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป