ปตท.เผยผลดำเนินงานไตรมาส 1/2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 27,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24,792 ล้านบาท แม้ว่ามี EBITDA ลดลง 26.2% แต่ขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ลดลง กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น และกลุ่มสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลดำเนินงานที่ดีขึ้น
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากปัญหาความขัดแย้งและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศ การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบในกลุ่มประเทศ OPEC และชาติพันธมิตรจนถึงสิ้นปี 2566 และเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปี 2566 ปตท.และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย 756,690 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.2 จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) ที่ 104,008 ล้านบาท ลดลง 36,904 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.2 จากไตรมาส 1/2565 ที่จำนวน 140,912 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ซึ่งมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น และผลการดำเนินงานของธุรกิจที่ ปตท.ดำเนินการเอง เช่น กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลงจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงเกือบทุกผลิตภัณฑ์ ปริมาณการขายลดลงและต้นทุนค่าเนื้อก๊าซสูงขึ้น กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามปริมาณการขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น และในไตรมาสนี้ มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ที่ลดลง และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ส่งผลให้ ปตท.และบริษัทย่อยในไตรมาส 1 ปี 2566 มีกำไรสุทธิจำนวน 27,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,063 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่จำนวน 24,792 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2566 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายลดลงร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบจากไตรมาส 4 ปี2565 แต่มี EBITDA เพิ่มขึ้น 28,689 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.1 เมื่อเปรียบเทียบจากไตรมาส4 ปี2565 ส่งผลให้ไตรมาส1 ปี 2566 ปตท.มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 9,190 ล้านบาท หรือโตขึ้นร้อยละ 49.2 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565
สำหรับรายได้ ปตท.ในไตรมาส 1/2566 ลดลงเล็กน้อยโดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่มีรายได้จากการขายลดลง จากปริมาณขายของธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลงเนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุง รวมทั้งราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลง และรายได้ของกลุ่มธุรกิจ การค้าระหว่างประเทศลดลง ขณะที่กลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก และกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากปริมาณขายที่เพิ่มแม้ว่าราคาขายเฉลี่ยลดล กลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยหลักจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจยาที่เพิ่มขึ้นจากบริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) มีรายได้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก SPP ตามค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) และราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น
นายอรรถพลกล่าวว่า ปตท.ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ยึดมั่นพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมเป็นแรงสำคัญขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และประเทศให้เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563-2565 ได้ใช้งบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบของภาคประชาชนจากวิกฤตโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน เช่น การสำรองน้ำมัน 4 ล้านบาร์เรล การตรึงราคา NGV การช่วยเหลือราคา LPG แก่หาบเร่แผงลอยผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และการขยายเทอมการชำระเงินแก่ กฟผ. เพื่อลดภาระค่า FT เป็นต้น
ทั้งนี้ ปตท.เร่งเดินหน้ากลยุทธ์ “ปรับ เปลี่ยน ปลูก” เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2583 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 ด้วยการทำงานเชิงรุก ปรับกระบวนการผลิต พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ พร้อมเปลี่ยนสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขยายสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน เพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการปลูกป่าเพิ่ม 1 ล้านไร่ ภายในปี 2573 ในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน เพื่อการมีส่วนร่วมดูแลรักษาป่า ส่งเสริมอาชีพ และรายได้ของชุมชนในพื้นที่ ในอนาคตพื้นที่ป่าเหล่านี้จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 4.15 ล้านตัน/ปี