หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี รับผลกังวลระยะสั้นจากนโยบายหาเสียงพรรคการเมือง ที่เน้นการหาเสียงด้วยการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชน ถือเป็นความเสี่ยงต่อหุ้นกลุ่มนี้ ส่วนแนวโน้มระยะยาวรับผลดีจากการที่ OPEC เตรียมลดกำลังการผลิตน้ำมัน ส่งผลบวกต่อราคาน้ำมันดิบ ขณะโรงกลั่นมีโอกาสเห็นกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (stock gain) โบรกเกอร์ประเมินกลุ่มนี้ “Neutral”
จากการที่รัฐบาลชุดเก่าจะหมดวาระและเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และพบว่าพรรคการเมืองส่วนใหญ่เน้นประเด็นลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ทั้งการปรับลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมันผ่านการปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้า ลดค่า Ft ตลอดจนการปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน ถือเป็นความเสี่ยงต่อหุ้นโรงไฟฟ้า โรงกลั่น โรงงานปิโตรเคมี สถานีบริการน้ำมัน
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันพุ่งหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดี คาดการณ์วงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสิ้นสุด รวมถึง IEA คาดความต้องการใช้น้ำมันปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ เพราะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน อีกทั้งแรงหนุนจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนออกมาแข็งแกร่ง ยังคงเป็นแรงหนุนหุ้นกลุ่มนี้ โบรกเกอร์ประสานเสียงคำแนะนำหุ้นกลุ่มนี้ “Neutral” หรือเท่ากับตลาด
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) หรือ บล.หยวนต้าฯ ประเมินหุ้นกลุ่ม ENERGY & PETROCHEMICAL คำแนะนำ “Neutral” จากมาตรการหาเสียงของพรรคการเมืองเกี่ยวกับการลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ส่วนใหญ่นำเสนอแนวทางเกี่ยวกับการปรับลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมันผ่านการปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้า ลดค่า Ft และปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน
โดยประเด็นดังกล่าวเป็นความเสี่ยงกระทบต่อหลายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงไฟฟ้า โรงกลั่น โรงงานปิโตรเคมี สถานีบริการน้ำมัน ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ บล.หยวนต้าฯ ให้น้ำหนักข่าวนี้เป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจโรงไฟฟ้า เพราะหลายพรรคนำเสนอมาตรการเกี่ยวกับการปรับลดค่าไฟฟ้า กระทบหุ้นที่เกี่ยวข้อง เช่น GULF RATCH GPSC BGRIM รวมทั้ง PTT เพราะเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงจากนโยบายรัฐสูง
ขณะรองลงมาเป็นกลุ่มโรงกลั่น ปิโตรเคมี สถานีบริการน้ำมัน เชื้อเพลิงชีวภาพ ขณะที่ธุรกิจพลังงานต้นน้ำ และธุรกิจที่ดำเนินงานส่วนใหญ่ในต่างประเทศจะมีความเสี่ยงน้อย เช่น PTTEP BANPU IVL แม้ระยะยาว บล.หยวนต้าฯ ยังชอบหุ้นโรงไฟฟ้า GPSC BGRIM GULF และข่าวดังกล่าวยังไม่ชัดเจน หลายครั้งไม่สามารถดำเนินการปรับโครงสร้างได้เพราะกระทบต่อหลายภาคส่วนทั้งประชาชน ธุรกิจ การลงทุน
อย่างไรก็ตาม ข่าวดังกล่าวจะสร้างความกังวลต่อหุ้นในกลุ่ม โดยเฉพาะช่วงใกล้วันเลือกตั้ง นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มยังเป็น Global Play ที่มีแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง เชิงกลยุทธ์ จึงแนะนำรอจังหวะเข้าลงทุนอีกครั้งหลังสถานการณ์เริ่มดีขึ้น
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ "NEUTRAL" หุ้นกลุ่ม Energy & Petrochemical หลังราคาน้ำมันดิบยังแข็งแกร่ง ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเพิ่มขึ้น +1.2% WoW เป็น 85.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จาก 84.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากปัจจัยสนับสนุนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดี โดยเฉพาะ CPI ที่ลดลงเป็น 5.0% เทียบปีก่อน จากเดิมเพิ่มขึ้น 6.0% ในเดือนก่อน ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสิ้นสุด รวมถึง IEA คาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันในปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ด้วยผลบวกจากการเปิดประเทศของจีน ราคาน้ำมันดิบล่าสุดยังแข็งแกร่งด้วยแรงหนุนจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนออกมาแข็งแกร่ง
ขณะค่าการกลั่นลดลงต่อเนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลและเบนซินเนื่องจากอุปทานเพิ่มขึ้นจากการส่งออกจากจีนเพิ่มขึ้น แม้ว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างดีจากความต้องการการเดินทางและภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นก็ตาม ขณะสเปรดปิโตรเคมีโดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น ราคาแนฟทาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย คือ 0.4% ตามน้ำมันดิบ ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่สูงกว่า ทำให้สเปรดปิโตรเคมีโดยส่วนใหญ่ปรับขึ้น โดยเฉพาะสายอะโรเมติกส์ ซึ่งได้แรงหนุนจากอุปทานตึงตัวตามการหยุดซ่อมบำรุง และโรงกลั่นหันไปผลิตน้ำมันเบนซินเพื่อรองรับความต้องการในช่วงฤดูร้อน
ดังนั้น คำแนะนำและหุ้นเด่น เน้นหุ้นพลังงานต้นน้ำอย่าง PTTEP เพราะดัชนีหุ้น ENERG และ PETRO ดูอ่อนแอกว่า SET โดยปัจจัยแวดล้อมอ่อนลงจากค่าการกลั่นและสเปรดปิโตรเคมีที่ถูกกดดันจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มองว่า ด้วยราคาน้ำมันดิบน่าจะยืนระดับแข็งแกร่งได้ ซึ่งจะหนุนให้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยไตรมาส 2 ปี 66F เพิ่มขึ้นเทียบไตรมาสก่อน ขณะที่ค่าการกลั่นและสเปรดปิโตรเคมีมีแนวโน้มลดลงเทียบไตรมาสก่อน ในไตรมาส 2 ปี้ ทำให้ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังชอบ PTTEP มากที่สุด
บล.ดาโอ ประเมินหุ้น Energy ให้คำแนะนำ "Neutral" หลัง OPEC ประกาศลดกำลังการผลิตมากกว่า 1.0mbd; อิรัก และเคอร์ดิสถานเตรียมกลับมาส่งออกน้ำมัน เนื่องจาก OPEC ตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติม 1.1mbd ตั้งแต่ พ.ค. จนถึงสิ้นปีเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2566 ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศสมาชิก OPEC (รวมประเทศสมาชิก OPEC และพันธมิตร เช่น รัสเซีย) ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติมรวม 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) (เทียบเท่าประมาณ 1% ของอุปทานน้ำมันโลก) ตั้งแต่เดือน พ.ค.2566 จนถึงสิ้นปี 2566 นำโดยซาอุดีอาระเบีย (0.5mbd) อิรัก (0.2mbd) UAE (0.1mbd) และคูเวต (0.1mbd) โดยซาอุดีอาระเบียอ้างว่าเป็นมาตรการเพื่อรักษาความมั่นคงของตลาดน้ำมัน
นอกจากนี้ รัสเซียได้ประกาศว่าจะขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของตนเองออกไป หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมัน 0.5mbd ในช่วงเดือน มี.ค.-มิ.ย.2566 ทั้งนี้ การตัดสินใจปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติมนี้เป็นส่วนเพิ่มจาก 2.0mbd ที่ OPEC ประกาศไปเมื่อเดือน ต.ค.2565 นอกจากนี้ การตัดสินใจลดกำลังการผลิตของ OPEC นี้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีเพื่อติดตามการดำเนินการของโอเปก (JMMT) เมื่อ 3 เม.ย.2566
ทั้งนี้ อิรักและเคอร์ดิสถานตกลงที่จะกลับมาส่งออกน้ำมันผ่านตุรกี สื่อต่างประเทศของเคอร์ดิสถานรายงานว่า รัฐบาลภูมิภาคเคอร์ดิสถาน (KRG) สามารถที่จะหาข้อตกลงเบื้องต้นกับรัฐบาลอิรักในการจะกลับมาส่งออกน้ำมันผ่านท่อส่งน้ำมันของตุรกี หลังจากก่อนหน้านี้ ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ (International Court of Arbitration) มีคำสั่งให้การส่งออกน้ำมันจากเขตปกครองตนเองเคอร์ติสถานผ่านท่อส่งน้ำมันของตุรกีต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลอิรักก่อน ทำให้ตุรกีได้หยุดการสูบน้ำมันจากเคอร์ดิสถานซึ่งมีการส่งออกน้ำมันประมาณ 450 พันบาร์เรลต่อวัน (kbd) (ประมาณ 0.5% ของอุปทานน้ำมันโลก)
โดย บล.ดาโอ มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ โดย บล.ดาโอ เชื่อว่า ข่าว OPEC เตรียมลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติมจะส่งผลบวกต่อราคาน้ำมันมากกว่าข่าวการกลับมาส่งออกน้ำมันของอิรัก ทั้งนี้บล.ดาโอเชื่อว่าจากข่าวข้างต้นนี้จะส่งผลให้มีอุปทานน้ำมันดิบโลกลดลงเพิ่มเติม 1.6mbd ในครึ่งหลังปี 2566 จากที่ตลาดคาดก่อนหน้านี้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมัน
ทั้งนี้ พบว่าราคาสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า Brent สูงขึ้น 0.6% เป็น 79.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบจากข่าวนี้ ทั้งนี้ คงมุมมองว่าราคาน้ำมันดิบจะฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก ในครึ่งหลังปี 2566 จากอุปทานที่ตึงตัวมากขึ้นและจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวจากจีน ทั้งนี้ ในเบื้องต้นจึงยังคงประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบฉลี่ยปี 2566 ที่ 93.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ดังนั้น ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน และชอบหุ้นพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นน้ำมันที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันที่สููงขึ้น โดยชอบหุ้น PTTEP (ซื้อ/เป้า 200.00 บาท) SPRC (ซื้อ/เป้า 12.50 บาท) และ TOP (ซื้อ/เป้า 65.00 บาท) โดยเชื่อว่าราคาหุ้น PTTEP มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่น่าจะฟื้นตัว ขณะที่โรงกลั่นมีโอกาสที่จะเห็นกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (stock gain)