นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (21 มี.ค.) ที่ระดับ 34.02 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.10 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.90-34.15 บาท/ดอลลาร์ โดยแนวโน้มค่าเงินบาทประเมินว่าแม้ว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงต่อเนื่องในช่วงคืนที่ผ่านมาหลังตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่ทว่า เงินบาทกลับไม่ได้แข็งค่าขึ้นมาก ส่วนหนึ่งมาจากการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ ทำให้ผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยเข้ามาซื้อทองคำในช่วงย่อตัวลงได้ (แถวโซน 1,970 ดอลลารต่อออนซ์ อาจเป็นโซนแนวรับแรกที่ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อ)
ส่วนในวันนี้ เรามองว่าบรรยากาศในตลาดการเงินที่เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงและมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคาดหวังว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยเพียง +0.25% ในรอบการประชุมที่จะถึงในวันพฤหัสฯ นี้ ก่อนที่จะคงดอกเบี้ยและอาจทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี อาจช่วยหนุนให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ อย่างไรก็ดี เรามองว่าเงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าไปมากนัก หากราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และอาจหนุนให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว (โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำ ส่วนใหญ่จะกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง) ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่าจะสามารถทยอยกลับมาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยได้หรือไม่ โดยเฉพาะหุ้นไทยหลังตลาดการเงินเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้แรงขายสุทธิหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มชะลอลง หรือ กลับมาเป็นฝั่งซื้อสุทธิได้บ้าง
ด้านบรรยากาศในฝั่งตลาดการเงินสหรัฐฯ เริ่มกลับมาสู่ภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +0.89% หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความวิตกต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารสหรัฐฯ และธนาคารยุโรป ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารต่างปรับตัวขึ้น (Morgan Stanley +1.7% JPM +1.1%) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil +2.6% Chevron +1.5%) ที่ได้แรงหนุนจากการรีบาวนด์ของราคาน้ำมันดิบ (WTI รีบาวนด์ขึ้นสู่ระดับ 67.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล)
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นกว่า +0.98% หลังผู้เล่นในตลาดคลายความวิตกกังวลต่อปัญหาธนาคาร Credit Suisse ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารต่างปรับตัวขึ้น (Intesa Sanpaolo +3.7% Santander +2.3%) นอกจากนี้ การรีบาวนด์ของราคาน้ำมันดิบยังได้ช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐฯ (BP +1.5% TotalEnergies +1.4%) และตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Dior +2.0% Hermes +1.7%) จากความหวังการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจจีน
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวนด์ขึ้นกลับสู่ระดับ 3.48% จากที่ปรับตัวลดลงใกล้ระดับ 3.30% อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ยังคงคาดหวังว่าเฟดจะจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ และเฟดจะเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งเรามองว่ามุมมองดังกล่าวอาจเปลี่ยนไปได้หากผลการประชุมเฟดวันพฤหัสฯ นี้ ชี้ว่าการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดยังไม่จบ เนื่องจากเฟดต้องการที่จะคุมปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูงให้สำเร็จเป็นหลัก ทำให้ยังมีความเสี่ยงที่บอนด์ยิลด์ระยะยาวอาจปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังคงคาดหวังว่าเฟดจะไม่เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องไปมาก (หยุดที่ระดับ 5.00%) มุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 103.3 จุด ทั้งนี้ เรามองว่าเงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุมเฟดในวันพฤหัสฯ นี้ และมีโอกาสที่เงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นได้บ้างหากเฟดส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่วนในฝั่งราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างลดการถือครองทองคำ ทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้านโซน 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไปได้ไกลนัก ก่อนเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลงสู่ระดับ 1,983 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Sentiment) ในเดือนมีนาคม โดยตลาดคาดว่าความกังวลต่อปัญหาระบบธนาคารในช่วงที่ผ่านมา และแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจส่งผลให้บรรดานักลงทุนสถาบันรวมถึงบรรดานักวิเคราะห์ต่างปรับลดมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนีลงบ้าง ทำให้ดัชนี ZEW เดือนมีนาคมอาจลดลงสู่ระดับ 17.1 จุด จาก 28.1 จุด ในเดือนก่อนหน้า (ดัชนีมากกว่า 0 หมายถึง มุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมและแนวโน้มเศรษฐกิจ)