นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (3 มี.ค.) ที่ระดับ 34.80 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.78 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.65-34.95 บาท/ดอลลาร์ โดยบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยดัชนี S&P500 สามารถพลิกกลับมารีบาวนด์ขึ้น +0.76% หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการ “เร่งขึ้น” ดอกเบี้ยนโยบายของเฟด หรือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าครั้งละ +0.25% เนื่องจากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างสนับสนุนการทยอยขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เล่นในตลาดรับรู้มาพอสมควรแล้ว (สะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นในตลาดจาก CME FedWatch Tool ที่คงคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.50%)
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าการเคลื่อนไหวแข็งค่าของเงินดอลลาร์ยังมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดก่อนหน้า ส่วนแนวโน้มเงินบาทในวันนี้เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังขาดปัจจัยหนุนฝั่งแข็งค่าที่ชัดเจนในระยะสั้น ทำให้เงินบาทยังมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ หรือแรงขายหุ้นไทยและบอนด์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ดี การรีบาวนด์ขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาทได้ โดยเฉพาะหากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านสำคัญที่เรามองไว้ได้ เราคาดว่า เงินบาทอาจได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าบ้างจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ
อนึ่ง ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดทยอยรับรู้รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ (ให้นึกถึงความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตก่อนหน้า) ซึ่งหากดัชนีดังกล่าวปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสูงกว่าคาด และดัชนีด้านราคาในภาคการบริการเร่งตัวขึ้นอีก เราคาดว่าผู้เล่นในตลาดอาจยังคงกังวลแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอตัวลงยาก และหนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด ซึ่งในกรณีดังกล่าวอาจเห็นเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้าง
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.51% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม เช่น TotalEnergies +2.0% Kering +1.9% Hermes +1.0% หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนล่าสุดออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่าความต้องการใช้พลังงานจากจีนอาจเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกันกับยอดขายสินค้าแบรนด์เนม อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปยังคงถูกจำกัดโดยความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนยังสูงถึง 8.5%
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะคลายกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดไปบ้าง แต่มุมมองของผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง กอปรกับบรรยากาศในตลาดที่เปิดรับความเสี่ยง ทำให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้านสำคัญระดับ 4.00% ได้ในที่สุด และปรับตัวขึ้นต่อสู่ระดับ 4.06% ทำให้ในระยะสั้นมีโอกาสที่บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นต่ออีกได้บ้าง แต่เรามองว่าการปรับตัวขึ้นอาจเริ่มจำกัดลง (อาจไม่ทะลุระดับ 4.25%) เนื่องจากบรรดานักลงทุนส่วนใหญ่ต่างรอจังหวะกลับเข้ามาซื้อบอนด์อยู่
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยเงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ตามภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใสอยู่ ซึ่งล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 105 จุดอีกครั้ง ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าตลาดจะคลายกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยเฟดไปบ้าง แต่มุมมองของตลาดยังเชื่อในแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด ทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ยังคงแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 1,840 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และอาจยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านสำคัญแถว 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จนกว่าจะมีปัจจัยหนุนใหม่ๆ เข้ามา
สำหรับวันนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Non-Manufacturing PMI) เดือนกุมภาพันธ์ โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า ภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจะช่วยหนุนให้ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการอาจอยู่ที่ระดับ 54.5 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึงภาวะขยายตัว) ทั้งนี้ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อผ่านรายงานดัชนีด้านราคาในรายละเอียดของรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการว่าจะยังคงส่งสัญญาณการเร่งขึ้นของราคาต่อเนื่องหรือไม่ หลังดัชนีด้านราคาของ ISM PMI ภาคการผลิตที่ประกาศออกมาก่อนหน้าได้เร่งขึ้นจนทำให้ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในฝั่งสหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินในระยะถัดไป