บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ และเป็นผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทย ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท โดยภายหลังจากการเข้าซื้อกิจการของบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GOLD ทำให้ FPT เป็นผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ประเภทอุตสาหกรรม (Industrial) ประเภทที่อยู่อาศัย (Residential) และการพาณิชยกรรมและโรงแรม (Commercial and Hospitality)
แต่จะว่าไปแล้ว เฟรเซอร์สฯ เป็นอีกหนึ่ง “ธุรกิจ” ภายใต้ร่มเงาของเจ้าสัว “เจริญ สิริวัฒนภักดี”
ล่าสุด ทางผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเฟรเซอร์สฯ ได้นำคณะสื่อมวลชนไปชมโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดขอนแก่น พร้อมกับแถลงกลยุทธ์ และแนวทางการขยายโอกาสการลงทุนผ่านเครือข่ายธุรกิจที่มีความหลากหลาย สร้างความแข็งแกร่งให้แพลตฟอร์มของ FPT พร้อมกับการก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายใหญ่ผ่านโรดแมป FPT Next 2025 ที่จะยกระดับธุรกิจสู่ “Real Estate as a Service Brand” เพื่อส่งมอบการบริการที่เป็นเลิศ (Service Excellence) ในทุกมิติ
โดยนายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (FPT) ได้ฉายภาพ “ฉากทัศน์อสังหาฯ” ในปี 2566 ว่า มองเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ดี แต่ยังมีความท้าทายจากความผันผวนในหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในอัตราที่สูง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากนโยบายที่เกิดขึ้นจากต่างประเทศ ซึ่งตอนแรกนึกว่าสหรัฐฯจะสงบ แต่เริ่มมีสัญญาณเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่ไม่หยุด เพราะฉะนั้น อัตราดอกเบี้ยต้องปรับขึ้นอยู่ และจะมีผลต่อต้นทุนทางการเงินของเราสูงขึ้น และจะมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างที่เราคิดไว้หรือไม่ ขณะเดียวกัน มีผลต่อต้นทุนการผลิต นอกจากนั้นยังมีผลทำให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นเพิ่มเติม เช่น คลังสินค้า ธุรกิจสุขภาพ และโรงแรม เป็นต้น ซึ่งจะทำให้การแข่งขันในตลาดแต่ละอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้เป็นความท้าทายที่เกิดขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินงานของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทจะยังเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรผ่านการเป็น Real Estate as a Service Brand ซึ่งหมายถึงการขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยต่อยอดด้านนวัตกรรมการบริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าภายใน 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 2570 บริษัทจะมีรายได้รวมที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยเติบโตอย่างยั่งยืนปีละ 15%
“แผนในการดำเนินธุรกิจของเราจะมุ่งเน้นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมกับการเพิ่มพอร์ตรายได้ประจำให้มากขึ้น โดยในปี 2570 ตั้งเป้าจะมีรายได้แตะที่ระดับ 30,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2566 นี้บริษัทคาดว่าจะมีพอร์ตรายได้รวม 17,925 ล้านบาท โดยมาจากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย 13,085 ล้านบาท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม 3,405 ล้านบาท และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม 1,435 ล้านบาท” นายธนพล กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทมีกลยุทธ์ในสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำให้มากยิ่งขึ้น จากในปี 2565 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,346 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่มาจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย 75% หรือประมาณ 12,259 ล้านบาท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม 17% หรือประมาณ 2,780 ล้านบาท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชยกรรม 8% หรือประมาณ 1,307 ล้านบาท
คาดว่าใน 3 ปีข้างหน้า (2566-2568) จะมีพอร์ตรายได้รวมอยู่ที่ 21,195 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนรายได้เป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย 69% หรือประมาณ 14,625 ล้านบาท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม 23% หรือประมาณ 4,874 ล้านบาท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชยกรรม 8% หรือประมาณ 1,696 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทได้เตรียมงบลงทุน เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการต่างๆ ของกลุ่มธุรกิจเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ไว้ที่ประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบซื้อที่ดินสำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม 3,000-4,000 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจเพื่อการพาณิชยกรรม 1,000 ล้านบาท
และหากแยกเป็นกลยุทธ์ จะสามารถแยกออกเป็นกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัย ได้เสริมการให้บริการลูกค้าอย่างไร้รอยต่อมากขึ้นด้วยแอปพลิเคชัน Home+ ซึ่งอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าตลอดกระบวนการขายและบริการ รวมถึงมอบบริการเสริมต่างๆ ผ่านเครือข่ายพันธมิตรเพื่อดูแลลูกบ้านให้ดียิ่งขึ้น สอดรับกับไลฟ์สไตล์และความต้องการในการอยู่อาศัย พร้อมส่งมอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ภายในบ้านซึ่งช่วยยกระดับการใช้ชีวิต
ขณะเดียวกัน เพื่อรองรับรูปแบบการใช้งานของคนสมัยใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง บริษัทฯ ได้เดินหน้านวัตกรรมการบริการในธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าภายใต้คอนเซ็ปต์ Core & Flex ที่มีทั้งพื้นที่สำนักงานแบบมาตรฐาน และแบบยืดหยุ่น อีกทั้งยังเตรียมผลักดันการให้บริการ Co-Warehousing เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องใช้บริการรายครั้ง (Pay-Per-Use) หรือต้องการจัดเก็บสินค้าภายในคลังสินค้าตามจำนวนพาเลท (Pay-Per-Pallet) รวมถึงตอบสนองความต้องการใช้พื้นที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีที่เป็นของส่วนกลางโดยจ่ายค่าบริการตามจำนวนการใช้งาน
และเพื่อขับเคลื่อน FPT สู่การเป็น Real Estate as a Service Brand ภายในปี 2568 บริษัทฯ กำหนดแผนการดำเนินงานใน 3 มิติหลัก ได้แก่
People : มุ่งดูแลพนักงาน Planet : ดำเนินธุรกิจโดยยึดมั่นและคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล พร้อมเดินหน้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 6 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ 6 แสนต้นในปี 2568 และ Purpose : การส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ เพื่อให้เป็นที่จดจำและเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงการสร้างประสบ การณ์ที่ดีให้ลูกค้า
ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ดำเนินธุรกิจใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม และมีการลงทุน 22 ประเทศ มีทรัพย์สินภายใต้การบริหารรวมกว่า 1 ล้านล้านบาท
โดยในประเทศไทย ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยมีการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม รวม 10 แบรนด์ ซึ่งปีนี้จะขยายพอร์ตโฟลิโอโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี และระดับซูเปอร์ลักชัวรี ราคา 60-120 ล้านบาท นำทัพด้วย 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ The Royal Residence (เดอะ โรยัล เรสซิเดนซ์) Alpina (อัลพีน่า) และ The GRAND (เดอะ แกรนด์) รวมถึงมีแผนบุกตลาดคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ราคา 3-5 ล้านบาท
ปัจจุบันมีโครงการที่เปิดขาย (Active Project) จำนวน 73 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 95,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 17 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 30 โครงการ บ้านแฝด 12 โครงการ และโครงการในต่างจังหวัด 14 โครงการ
ก่อนหน้านี้ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในธุรกิจของเฟรเซอร์สฯ ระบุว่า จากการที่ภาคอสังหาฯ มีการฟื้นตัว ทำให้บริษัทฯ วางเป้ายอดขายรอรับรู้รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2565 โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 17,500 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ ทาวน์โฮม 2 โครงการ บ้านแฝด 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม มีทีมงานที่มากด้วยประสบการณ์และความชำนาญ พร้อมทั้งมีพื้นที่ภายใต้บริหารจัดการกว่า 3.4 ล้าน ตร.ม. ในประเทศไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม และเตรียมส่งมอบพื้นที่ให้ลูกค้าอีกกว่า 150,000 ตร.ม. ส่งผลให้บริษัทฯ จะมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการรวมกว่า 3.55 ล้าน ตร.ม. ขณะเดียวกัน มีเมกะโปรเจกต์เป็นเมืองอุตฯ ขนาดใหญ่บนพื้นที่ 4,600 ไร่ในจังหวัดสมุทรปราการ
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม แข็งแกร่งด้วยโครงการมิกซ์ยูสใจกลางเมือง สามย่านมิตรทาวน์และสีลมเอจ ธุรกิจโรงแรม และอาคารสำนักงานเกรดเอ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ย่าน CBD ซึ่งด้วยการบริหารจัดการที่ดีเยี่ยม ส่งผลให้สามารถรักษาอัตราการเช่าเฉลี่ยของทั้งพอร์ตโฟลิโอสูงกว่า 90%
จากความหลากหลายของธุรกิจที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แพลตฟอร์มของ FPT ทำให้ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ (ณ วันที่ 30 ก.ย.2565) มีมูลค่าสินทรัพย์สูงถึง 98,967 ล้านบาท และตั้งเป้าปี 2568 จะมีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายในการเป็นแบรนด์ Top 5 ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในกลุ่มที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมอีกด้วย