ผู้ร่วมก่อตั้งเจมิไนเชื่อภาวะกระทิงตลาดคริปโตรอบต่อไปจะมาจากเอเชีย เตือนตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกามีแค่ 2 ทางเลือกคือ ยอมรับสินทรัพย์ดิจิตอลและกำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจน หรือถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
คาเมรอน วิงเคิลวอสส์ ผู้ร่วมก่อตั้งเจมิไน กระดานเทรดคริปโตชื่อดังของอเมริกา ทวิตไว้เมื่อวันอาทิตย์ (19) ว่า ทฤษฎีของเขา ณ เวลานี้คือ ตลาดกระทิงรอบต่อไปจะเริ่มต้นขึ้นในตะวันออก ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจว่า คริปโตเป็นสินทรัพย์ระดับโลก และอุตสาหกรรมคริปโตของอเมริกาจะถูกทิ้งไม่เห็นฝุ่นอย่างรวดเร็ว ถ้าหน่วยงานกำกับดูแลไม่เริ่มวางกฎที่ชัดเจนในการจัดการกับสินทรัพย์ดิจิตอล ซึ่งหมายถึงการพลาดโอกาสการเติบโตครั้งใหญ่ที่สุดนับจากการแจ้งเกิดของอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ รวมทั้งโอกาสในการมีส่วนร่วมกำหนดแนวทางและวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินโลกในอนาคต
วิงเคิลวอสส์ยังเตือนว่า หลายประเทศในเอเชียอาจแซงหน้าเป็นจ่าฝูงในแวดวงสินทรัพย์ดิจิตอล ถ้าขืนคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) ยังมัวแต่ไล่จับบริษัทคริปโตและหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความสับสนในตลาดคริปโต
ช่วงหลายสัปดาห์มานี้เอสอีซีเล่นงานบริษัทคริปโตชื่อดังที่สุดหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงเจมิไนที่สองพี่น้องฝาแฝดวิงเคิลวอสส์ คาเมรอนและไทเลอร์ ร่วมกันก่อตั้งขึ้นในปี 2014 และเมื่อเดือนที่แล้วถูกเอสอีซีกล่าวหาว่าเสนอและขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนให้ลูกค้ารายย่อยผ่านโปรแกรมการกู้ยืมคริปโต “เอิร์น” ของบริษัท
นอกจากนั้นต้นเดือนนี้ คราเคน กระดานเทรดคริปโตใหญ่สุดอันดับ 3 ของโลก ยังตกลงจ่ายเงิน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดี รวมทั้งยกเลิกการให้บริการ "staking" หรือการฝากสินทรัพย์ดิจิตอลเพื่อรับผลตอบแทน และอีกไม่กี่วันต่อมาถึงคิวแพ็กซอสกรณีการออกสเตเบิลคอยน์ ไบแนนซ์ ยูเอสดี (บียูเอสดี)
ผู้สนับสนุนคริปโตหลายคน ซึ่งรวมถึงเฮสเตอร์ เพียร์ซจากเอสอีซีเอง และสมาชิกรัฐสภาจำนวนมาก แสดงความกังวลที่เอสอีซีไม่เสนอกฎที่ชัดเจนเพื่อให้บริษัทคริปโตปฏิบัติตาม แต่กลับเลือกแนวทางที่เน้นการบังคับใช้เพื่อควบคุมอุตสาหกรรมคริปโต
ในทางกลับกัน หลายประเทศในเอเชียและยุโรปกำลังเร่งผลักดันตัวเองเป็นศูนย์คริปโต ซึ่งรวมถึงฮ่องกง สิงคโปร์ และปูซาน เมืองใหญ่อันดับ 2 ของเกาหลีใต้ ตลอดจนถึงลอนดอนที่ผลศึกษาล่าสุดของรีแคป บริษัทบริการด้านภาษีคริปโต ระบุว่าเป็นเมืองที่มีความพร้อมด้านคริปโตมากที่สุดในโลก
สิงคโปร์นั้นประกาศชัดเจนว่า ต้องการเป็นฮับระบบการเงินบนบล็อกเชนของโลกและกำลังเล็งสร้างอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิตอลที่มีการกำกับดูแลอย่างสมบูรณ์ ส่วนฮ่องกงเตรียมเปิดประตูรับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิตอลในเดือนมิถุนายน โดยมีแผนอนุญาตให้ซื้อขายคริปโตได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนประเภทสถาบันของจีนเข้าถึงตลาดคริปโต แม้ว่าพลเมืองจีนยังคงถูกห้ามเทรดสินทรัพย์ดิจิตอลในประเทศก็ตาม
ขณะเดียวกัน ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเอเชียอย่างเช่นดีบีเอสจากสิงคโปร์ได้เริ่มกระบวนการสมัครขอใบอนุญาตนำเสนอบริการคริปโตให้ลูกค้าในฮ่องกงแล้ว
นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมยังทำนายว่า จะมีการเปิดตัวสเตเบิลคอยน์ของเอเชียในตลาดกระทิงรอบต่อไป จีนนั้นกระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะปลีกตัวจากการครอบงำของดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว นักวิจัยของรัฐบาลจีนได้เสนอสกุลเงินดิจิตอลที่อิงกับตะกร้าเงินเอเชีย
สัปดาห์ที่ผ่านมา ไบรอัน อาร์มสตรอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (ซีอีโอ) คอยน์เบส กระดานเทรดคริปโตที่จดทะเบียนในตลาดแนสแด็ก กล่าวถึงสถานการณ์นี้เช่นกันโดยเตือนว่า อเมริกาเสี่ยงสูญเสียสถานะฮับการเงินหากไม่มีกฎระเบียบด้านคริปโตที่ชัดเจน ซ้ำหน่วยงานกำกับดูแลยังสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อคริปโต เขาและซีอีโอคราเคนยังเรียกร้องให้คองเกรสส์เร่งผ่านร่างกฎหมายคริปโตโดยด่วน