xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์สดใส ผลิตรถพุ่งราคาวัตถุดิบต่ำหนุนกำไรโต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามยอดการผลิตรถที่สูงขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบหลายตัวมีแนวโน้มลดลง แถมชิ้นส่วน EV คึก อีกทั้งสถานการณ์ขาดแคลนชิปคลี่คลาย โบรกฯ ให้น้ำหนักแตกต่างและยังคงมองบวก คาดกำไรกลุ่มชิ้นส่วนปี 66 เติบโต 14% เทียบปี 65 ที่คาดว่าจะโต 11% จากปี 64 ยังคงยกให้ AH และ SAT เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ประมาณการยอดผลิตรถยนต์ปี 66 อยู่ที่ 1,950,000 คัน เพิ่มขึ้น 3.53% จากปี 65 ที่ผลิตได้ 1,883,515 คัน แบ่งเป็นยอดผลิตเพื่อส่งออก 1,050,000 คัน เพิ่มขึ้น 1.22% จากปีก่อนอยู่ที่ 1,037,317 คัน และเป็นยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 900,000 คัน เพิ่มขึ้น 6.36% จากปีก่อนอยู่ที่ 846,198 คัน เนื่องจากปัจจัยบวกจากการส่งออก จีนเปิดประเทศ ทำให้การค้าและท่องเที่ยวทั่วโลกรวมถึงไทยจะฟื้นตัว ปัญหาเซมิคอนดักเตอร์(ชิป) เริ่มคลี่คลาย และเศรษฐกิจไทยยังเติบโตระดับ 3%

โดยก่อนหน้านี้ประมาณการยอดผลิตรถยนต์ปี 66 อยู่ที่ 1.85-1.95 ล้านคัน เพราะขณะนั้นยังไม่มีตัวเลขการผลิตของเดือนธันวาคม 65 แต่ตอนนี้ได้ตัวเลขแล้วจึงสรุปเหลือตัวเลขเดียวที่ 1.95 ล้านคัน เพราะปี 65 ยอดผลิตรถยนต์ได้เกินเป้าหมายแรกที่ตั้งไว้ก่อนโควิดที่ 1.85 ล้านคัน และมองว่ายังเติบโตได้ เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกยังแค่ชะลอตัวไม่ถึงกับถดถอย ซึ่งคงต้องติดตาม แต่หากถดถอยจริงก็คงจะมีการปรับเป้าอีกครั้งกลางปี

ทั้งนี้ ตัวเลขการส่งออกเดือนธันวาคม 65 มีมูลค่า 21,718.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 14.6% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 776,324 ล้านบาท ส่งออกรวมทั้งปี 65 (มกราคม.-ธันวาคม) มีมูลค่า 287,067.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.5% คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 9,944,317 ล้านบาท หรือเกือบ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าการส่งออกยังทำได้ดี เพราะปี 65 กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าการส่งออกไว้ที่ 4% แต่จบปีสามารถทำได้เกินเป้าหมาย

อย่างไรก็ดี การส่งออกในเดือนธันวาคม 65 ที่ขยายตัวติดลบ เป็นผลจากการส่งออกสินค้าเกษตรลดลง 11.6% แต่ทั้งปี ยังบวกได้ 2.2% สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร ลดลง 10.8% ทั้งปี เพิ่ม 17.8% และสินค้าอุตสาหกรรม ลดลง 15.7% ทั้งปี เพิ่ม 4.4%

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) หรือ บล.หยวนต้าฯ ประเมินหุ้นกลุ่ม AUTOMOTIVE คำแนะนำ "Neutral" คาดผลประกอบการไตรมาส 4 ปี65 ชะลอตัวเทียบไตรมาสก่อน แต่ฟื้นเด่นเทียบปีก่อน ตามอุตสาหกรรมผลิตรถ ขณะที่ปี 65 บล.หยวนต้าฯคาดกำไรกลุ่มชิ้นส่วน เติบโต 11% เทียบปีก่อน และ คาดปี 66 กำไรกลุ่มยานยนต์ เติบโต 14% เทียบปีก่อน หลังจากสถานการณ์ขาดแคลนชิปคลี่คลาย ประสิทธิภาพในการทำกำไรดีขึ้น ตามต้นทุนวัตถุดิบหลายตัวมีแนวโน้มลดลง และคาด EV เริ่มมาปี 66 บล.หยวนต้าฯ มองเป็นวัฏจักรการเติบโตรอบใหม่ของกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์

ทั้งนี้ บล.หยวนต้าฯ มองว่าอุตสาหกรรมผ่านจุดที่แย่สุดไปแล้ว ผลประกอบการเริ่มพลิกฟื้น ในปี 66 หลังจากสถานการณ์ขาดแคลนชิปที่คลี่คลาย ขณะที่แนวโน้มต้นทุนเริ่มดีขึ้นหลังราคาวัตถุดิบเริ่มทรงตัวขณะที่ผู้ผลิตส่วนใหญ่มีการปรับราคากับลูกค้าแล้ว

อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี66 ที่อาจกระทบต่อการส่งออกรถยนต์ของประเทศไทย ดังนั้น เลือก AH (TP@46.90) และ TRU (TP@9.40) เป็นหุ้น Top pick

สำหรับ AH นั้น บล.หยวนต้าฯ คาดว่าผลประกอบการ จะเติบโต Outperform กลุ่มยานยนต์ เนื่องจากได้ค าสั่งซื้อใหม่ที่เป็นโมเดล Global Market และธุรกิจOEMในประเทศถือเป็นช่วงเปลี่ยนโมเดลสำหรับรถกระบะใหม่ และTRU เนื่องจากผลประกอบการฟื้นตัวโดดเด่นจากฐานที่ต่ำ กอปรกับการรุกตลาด EV หนุนการเติบโตในระยะยาว

บล.ดาโอ ประเมินหุ้น Automotive คำแนะนำ "Neutral" เพราะยอดยอดผลิตรถยนต์เดือนธันวาคม 65 ดีขึ้นเล็กน้อย เทียบปีก่อน ส.อ.ท.รายงานยอดผลิตรถยนต์เดือนธันวาคม 65 อยู่ที่ 1.6แสนคัน เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน และลดลง 17% จากเดือนก่อน โดยดีขึ้นเทียบปีก่อน จากปัญหาขาดแคลนชิปที่คลี่คลาย ทำาให้การผลิตกลับมาเป็นปกติมากขึ้น แต่ลดลง จากเดือนก่อน ตามปัจจัยฤดูกาลที่มีวันหยุดยาว สำหรับยอดส่งออกทำได้โดดเด่นที่ 1.1 แสนคัน หรือเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 27% จากเดือนก่อน สูงสุดในรอบ 3 ปี 9 เดือน โดยส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกาอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ส่วนยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 8.3 หมื่นคัน หรือลดลง 9% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 21% จากเดือนก่อน โดยลดลงจากปีก่อน เนื่องจากมีปัญหาน้ำท่วมบางพื้นที่ แต่ดีขึ้นจากเดือนก่อน จากยอดจองรถยนต์งาน Motor Expo กระตุ้นกำลังซื้อ ทั้งนี้ ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ปี 65 อยู่ที่ 1.88 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน

โดย รถยนต์ นั่ง BEV มียอดจดทะเบียนใหม่เดือนธันวาคม 65 ทรงตัวจากเดือนก่อน โดยมียอดจดทะเบียนใหม่อยู่ที่ 1,242 คัน หรือเพิ่มขึ้น 820% จากปีกอ่น แต่ลดลง 4% จากเดือนก่อน โดย MG มีสัดส่วนมากสุด ตามมาด้วย ORA เท่ากับBYD สำหรับรวมทั้งปี 65 มียอดจดทะเบียนรถ BEV ใหม่อยู่ที่ 9,583 คัน หรือเพิ่มขึ้น 393% เทียบปีก่อน

ดังนั้น บล.ดาโอ มองเป็นกลาง โดยยอดผลิตรถยนต์เดือนธันวาคม65 ที่ยังเติบโตได้ตามคาด ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ปี 65 ใกล้เคียงกับที่ ทำไว้ ส่วนปี 66 ยังประเมินยอดผลิตรถยนต์ที่1.95 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 4% เทียบปีก่อน เท่ากับที่ ส.อ.ท.ตั้งเป้าไว้ โดยจะแบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1.05 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 9 แสนคัน หรือเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน จากความต้องการรถยนต์ที่เติบโตรวมถึงสถานการณ์ขาดแคลนชิปที่คลี่คลายที่ดีขึ้นจากปี 65

กลุ่ม Automotive ยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “Neutral” โดยราคาหุ้นกลุ่ม Automotiveปรับตัวขึ้น outperform SET +1%/+5% ในช่วง 3 และ 6เดือน จากยอดผลิตรถยนต์ที่ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง สำหรับหุ้น SAT ยังแนะนำ “ซื้อ ” ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท บาท อิง 2023E PERที่ 10 เท่า (5-yr average PER) โดยกำไรไตรมาส 4 ปี 65 จะยังไม่เด่นจากต้นทุนที่สูง ทั้งจากค่าไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้น และต้นทุนเหล็กที่ยังสูง ส่วนปี 66 กำไรจะกลับมาเติบโตดีขึ้นเป็น 1.04 พันล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน จากยอดผลิตรถยนต์ที่ยังเติบโต รวมถึงจะมีคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มอีก 200-300 ล้านบาทขณะที่ GPM จะดีขึ้นจากสต๊อกวัตถุดิบเหล็กที่ลดลง รวมถึงการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดส่งออกรถยนต์ที่ดีขึ้น โดดเด่น มองเป็นบวกต่อ NYT (เป้า Bloomberg consensus เฉลี่ย3.90 บาท) ที่ทำธุรกิจท่าเรือส่งออกและนำเข้ารถยนต์

บล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน)หรือ บล.กรุงศรี ฯ ประเมินหุ้นกลุ่ม AUTOMOTIVE ด้วยคำแนะนำ "POSITIVE" หลังยอดผลิตรถโตหนุนกำไรในไตรมาส 4 ถึงแม้ว่ายอดขายรถยนต์รวมจะลดลง 8.4% เทียบปีก่อน ในเดือนพฤศจิกายนแต่ยอดผลิตรถยนต์รวมยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 15.0% เทียบปีก่อน ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ที่ลดลงเป็นเพราะ การขาดแคลนพื้นที่จอดรถยนต์ในเรือสำหรับส่งออก บล.กรุงศรี ฯ คาดว่ากำไรจากธุรกิจปกติในไตรมาส 4 จะ เพิ่มขึ้นทั้งเทียบปีก่อน และไตรมาสก่อน เพราะได้แรงสนับสนุนจากยอดผลิตรถที่เพิ่มขึ้น บล.กรุงศรี ฯ เลือก AH เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มนี้จากแนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง

อย่างไรก็ดี ยอดผลิตรถยนต์รวมยังคงเพิ่มขึ้น 15.0% เทียบปีก่อน เพราะ สอท. รายงานว่ายอดผลิตรถยนต์รวมในประเทศไทยเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 15.0% เทียบปีก่อน เป็น 190,155 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 11.4% mom เนื่องจากสถานการณ์ขาดแคลน chip คลี่คลายลงไป ทั้งนี้ สำหรับงวดเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ยอดผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น 13.0% จากปีก่อน เป็น 460,872 คัน ในขณะที่ยอดผลิตรถยนต์เฉลี่ยเดือนตุลาคมพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 9.6% จากไตรมาสก่อน ทำให้ บล.กรุงศรี ฯ คาดว่ากำไรในไตรมาส 4 จะเพิ่มขึ้นทั้งเทียบปี และไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจากยอดผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน

ดังนั้น จึงมองกลุ่มยานยนต์มีแนวโน้มเป็นบวก บล.กรุงศรี ฯ ยังคงคำแนะนำซื้อ AH (ราคาเป้าหมาย 36 บาท) และ SAT (ราคาเป้าหมาย 26 บาท) หนุนโดย อุปสงค์กำลังฟื้นตัวขึ้น และ 2) สถานการณ์ขาดแคลน chip คลี่คลายลง บล.กรุงศรี ฯ ให้น้ำหนักกลุ่มยานยนต์ที่ Overweight โดยเลือก AH เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ เนื่องจาก มีความยืดหยุ่นมากกว่าในการปรับราคาขายภายในหนึ่งไตรมาสและ ฐานลูกค้ามีการกระจายตัวมากกว่า ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายชิ้นส่วน EV


กำลังโหลดความคิดเห็น