"สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง" ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2565 เหลือ 3% จากเดิมที่ประเมินไว้ 3.4% จากการส่งออกที่ลดลงติดต่อกัน ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 2566 ยังขยายตัวได้ 3.8% จากแรงหนุนจากการท่องเที่ยว และ เงินเฟ้อที่คลายตัวลง
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 และ 2566 ว่า เศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.0% จากเดิมที่คาดการณ์ในเดือน ต.ค.65 ที่ 3.4% จากการส่งออกที่ลดลงติดต่อกันหลายเดือน โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการจะขยายตัวที่ 8.2% ขณะที่ปริมาณการนำเข้าและบริการคาดว่าจะขยายตัวที่ 7.1%
ทั้งนี้ การผ่อนปรนมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศที่ปรับดีขึ้น ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวทั้งต่างชาติ และภายในประเทศสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 6.9% และ การลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 4.2%
สำหรับในปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 3.8% ตามเป้าหมายเดิม เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียที่จะเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งคาดว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 27.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 147% ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยว และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ปริมาณการส่งออกสินค้าจะชะลอลงตามการชะลอลงของอุปสงค์ประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยคาดว่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจะขยายตัวที่ 0.4%
สำหรับการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.5% ตามรายได้ภาคประชาชนที่เพิ่มขึ้น โดยบทบาทของนโยบายการคลังจะยังมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง และช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในทุกภาคส่วนให้เป็นไปอย่างทั่วถึง สำหรับการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.6% จากความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มกลับมาดีขึ้น
ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.8% ปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1.0-3.0% เนื่องจากราคาพลังงานโลกที่ลดลง สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุล 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 0.5% ของ GDP
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น ภาคการท่องเที่ยวที่มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้มากกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ตามแนวทางการเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางของรัฐบาลจีน
รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงจากทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีน ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19