นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (27 ม.ค.) ที่ระดับ 32.78 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 32.76 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.90 บาท/ดอลลาร์ บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด เช่น GDP ในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวถึง +2.9% จากไตรมาสก่อนหน้าเมื่อเทียบเป็นรายปี (ตลาดมอง +2.6%) ส่วนยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) รวมถึงยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 186,000 ราย และ 1.97 ล้านราย ตามลำดับ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดดังกล่าวส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนัก หรือเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น และกล้ากลับมาซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง ทำให้ดัชนี S&P500 สามารถปิดตลาด +1.10%
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าการเคลื่อนไหวผันผวนในฝั่งอ่อนค่าของเงินบาทนั้นมาจากการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว (ราคาทองคำย่อตัวแตะโซนแนวรับในวันก่อนหน้า) ซึ่งเรามองว่า ในวันนี้เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แต่ต้องระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงาน เงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ
โดยหากรายงานเงินเฟ้อ PCE ชะลอลงตามคาด อาจไม่ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองที่เชื่อว่าเฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยไปมากนัก ทำให้เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงไม่มาก หรือเงินบาทคงไม่ได้แข็งค่าขึ้นแรง แต่ทว่า หากเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอลงตามคาด และกลับกันอาจเร่งขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เรามองว่าตลาดอาจพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงได้เร็ว ส่งผลให้เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านได้
ทั้งนี้ เราคงมองโซนแนวต้านสำคัญของเงินบาทอยู่ในช่วง 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับสำคัญยังคงเป็นช่วง 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.42% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด (สวนทางกับสิ่งที่ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลในวันก่อนหน้า) นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดได้ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรปเช่นกัน ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองสินทรัพย์เสี่ยงที่ชัดเจนต่อไป
ทางฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้หนุนให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.50% อีกครั้ง หลังจากที่ปรับตัวลดลงแตะระดับ 3.43% ในวันก่อนหน้า อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ในวันนี้ ซึ่งหากรายงานเงินเฟ้อ PCE ออกมาชะลอลงต่อเนื่องตามคาดอาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่าเฟดอาจไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย กดดันให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงได้บ้าง
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 101.8 จุด หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดคลายความกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวลงหนักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาด รวมถึงการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับแถว 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวนด์ขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 1,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม คือ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตาม โดยตลาดคาดว่าการปรับตัวลงของราคาพลังงานและโปรโมชันลดราคาสินค้าเพื่อระบายสต๊อกในช่วงปลายปีที่ผ่านมา จะกดดันให้อัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนธันวาคมชะลอลงสู่ระดับ 5.0% อย่างไรก็ดี แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE อาจจะชะลอลงสู่ระดับ 4.4% ตามภาพการชะลอลงของเศรษฐกิจโดยรวม ทว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับภาคการบริการและไม่รวมค่าเช่าบ้าน Core PCE Services ex. Housing Rents อาจไม่ได้ชะลอลงไปมากนัก ทำให้เฟดอาจยังคงกังวลว่าเงินเฟ้อชะลอลงช้าและจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในปีนี้
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากรายงานผลประกอบการส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาดอาจช่วยทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่องได้