xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดที่ 32.70 ติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย 
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 32.50-33.20 บาท/ดอลลาร์ และกรอบเงินบาทวันนี้ (23 ม.ค.) คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.90 บาท/ดอลลาร์ จากระดับเปิดเช้านี้ที่ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 32.82 บาทต่อดอลลาร์ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียปรับตัวขึ้นได้ดีจากความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและรายงานผลประกอบการโดยรวมออกมาแย่กว่าคาด

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่าควรระวังรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ และติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่างดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการของสหรัฐฯ ยูโรโซน และญี่ปุ่น รวมถึงรอลุ้นรายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน เช่น Microsoft ASML และ Tesla เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า แม้ว่าเงินบาทจะมีโอกาสแข็งค่าขึ้นบ้าง (แข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์) แต่พร้อมผันผวนอ่อนค่าลงหากตลาดปิดรับความเสี่ยงและเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้จริง ทั้งนี้ เงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญในช่วง 33.20 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ส่งออกบางส่วนต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ ส่วนผู้เล่นต่างชาติรอจังหวะเพิ่มสถานะ Short USDTHB ตามความหวังการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่าควรระวังเงินดอลลาร์อาจรีบาวนด์ขึ้นได้หากตลาดเดินหน้าปิดรับความเสี่ยงต่อ (รายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด) หรือรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด เช่น อัตราเงินเฟ้อ PCE ไม่ได้ชะลอลงตามคาด ทำให้ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ - ตลาดประเมินว่าภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัวจะช่วยหนุนการใช้จ่ายในภาคการบริการ ซึ่งจะสะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (S&P Global Services PMI) ในเดือนมกราคมที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 45 จุด นอกจากนี้ ภาคการบริการจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญที่ทำให้ในไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวได้ +2.6% จากไตรมาสก่อนหน้าเมื่อเทียบเป็นรายปี แต่เป็นการชะลอลงของเศรษฐกิจจากที่โตได้กว่า +3.2% ในไตรมาสที่ 3 สะท้อนผลกระทบจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด รวมถึงแรงกดดันจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งในขณะเดียวกัน ส่งผลให้ดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมในเดือนมกราคมอาจปรับตัวลดลงสู่ระดับ 46 จุด

อย่างไรก็ดี ไฮไลต์สำคัญที่ต้องจับตาใกล้ชิด คือ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตาม โดยตลาดคาดว่า การปรับตัวลงของราคาพลังงานและโปรโมชันลดราคาสินค้า เพื่อระบายสต๊อกในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะกดดันให้อัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนธันวาคมชะลอลงสู่ระดับ 5.0% อย่างไรก็ดี แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE อาจจะชะลอลงสู่ระดับ 4.4% ตามภาพการชะลอลงของเศรษฐกิจโดยรวม ทว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับภาคการบริการและไม่รวมค่าเช่าบ้าน Core PCE Services ex. Housing Rents อาจไม่ได้ชะลอลงไปมากนัก ทำให้เฟดอาจยังคงกังวลว่าเงินเฟ้อชะลอลงช้าและจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในปีนี้ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Microsoft Tesla และ Chevron ซึ่งหากผลประกอบการบริษัทโดยรวมแย่กว่าคาดอาจส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงต่อ (Risk-Off) ได้

▪ ฝั่งยุโรป - ตลาดคาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ของยูโรโซน เดือนมกราคมอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -20 จุด สะท้อนความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจยูโรโซนที่ดีขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากฤดูหนาวของยุโรปที่อุ่นกว่าปกติ ทำให้ยูโรโซนผ่านพ้นวิกฤตพลังงานไปได้ นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัวดีขึ้นอาจช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการบริการได้เช่นกัน ซึ่งตลาดมองว่า ดัชนี PMI ภาคการบริการของยูโรโซนในเดือนมกราคมอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.2 จุด อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงอาจกระทบต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรมของยูโรโซน ทำให้ดัชนี PMI ในภาคการผลิตอาจอยู่ที่ระดับ 48 จุด สะท้อนภาวะหดตัวต่อเนื่องในภาคการผลิตอุตสาหกรรม นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงิน ECB รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน เช่น ASML และบรรดาบริษัทสินค้าแบรนด์เนม

▪ ฝั่งเอเชีย - ตลาดมองว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นอาจยังคงหดตัวอยู่จากผลกระทบของการชะลอตัวเศรษฐกิจโลก สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมกราคมที่ระดับ 49 จุด อย่างไรก็ดี ภาคการบริการของญี่ปุ่นมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาคึกคักมากขึ้นหลังการเปิดประเทศ โดยดัชนี PMI ภาคการบริการอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52 จุดได้ในเดือนมกราคม

▪ ฝั่งไทย - เราประเมินว่าระดับอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะยิ่งได้แรงหนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน จะเป็นปัจจัยที่ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +25bps สู่ระดับ 1.50% ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตามุมมองของ กนง. ต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินในอนาคตอย่างใกล้ชิด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มประเมินว่า กนง. อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยลงได้ อนึ่งในภาพเศรษฐกิจ ตลาดมองว่ายอดการส่งออก (Exports) เดือนธันวาคมอาจหดตัว -11%y/y ตามการชะลอลงของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) จะหดตัวราว -8.5%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้าอาจยังคงขาดดุลถึง -1.6 พันล้านดอลลาร์
กำลังโหลดความคิดเห็น