นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (2 ม.ค.) ที่ระดับ 32.86 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 33.05 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.75-33.15 บาท/ดอลลาร์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) โดยดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.76% หลังจากที่รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) รวมถึงยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ได้ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 190,000 ราย และ 1,647,000 ราย ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องหากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดยังคงออกมาสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เช่น Susan Collins มองว่าเฟดอาจปรับดอกเบี้ยนโยบายจนแตะระดับสูงกว่า 5% ได้ (จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.00%)
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นส่วนใหญ่ได้รับอานิสงส์จากทั้งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินนั้นยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงอยู่ ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนอ่อนค่าได้บ้าง (โดยรวมยังเป็นการเคลื่อนไหว Sideways ในกรอบ) นอกจากนี้ เรายังคงเห็นการทยอยปิดสถานะ Short USDTHB ของผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งได้สะท้อนผ่านแรงขายบอนด์ระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง (ในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติทยอยขายสุทธิบอนด์ระยะสั้น วันละไม่น้อยกว่า 6 พันล้านบาทโดยเฉลี่ย)
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินบาทอาจผันผวนในฝั่งอ่อนค่าบ้าง แต่เราประเมินว่าเงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญในโซน 33.20-33.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์และเพิ่มสถานะ Short USDTHB ขณะเดียวกัน เรามองว่าแนวรับของเงินบาทก็ยังคงอยู่ในโซน 32.70 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงทิศทางค่าเงินบาท เช่น ตลาดการเงินพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น อาจจะด้วยรายงานผลประกอบการที่สุดท้ายออกมาดีกว่าคาด หรือตลาดเลิกกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เป็นต้น
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลงแรง -1.55% หลังผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลักอีกครั้ง ซึ่งในส่วนของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประธาน ECB รวมถึงเจ้าหน้าที่ ECB ท่านอื่นๆ ต่างออกมาสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง จนกว่า ECB จะมั่นใจว่าสามารถจัดการปัญหาเงินเฟ้อสูงได้สำเร็จ ความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางได้กดดันให้หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวลงแรง เช่น Adyen -6.5% ASML -3.8% Hermes -2.9%
ในฝั่งตลาดค่าเงิน แม้ตลาดจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า เงินดอลลาร์กลับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ทำให้ล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 102 จุด ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะเข้าไปถือสินทรัพย์อื่นแทนการถือเงินดอลลาร์ เนื่องจากในช่วงนี้เงินดอลลาร์อาจเผชิญปัจจัยกดดันจากปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ (Debt Ceiling) ซึ่งสภาคองเกรสยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการขยายเพดานหนี้ได้ เพิ่มความเสี่ยงที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะผิดนัดชำระหนี้ในช่วงเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ แนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรปและภาพรวมเศรษฐกิจที่ไม่ได้แย่มากตามที่ตลาดเคยประเมินไว้ยังเป็นปัจจัยช่วยหนุนเงินยูโร อนึ่ง การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ได้ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวต้านแถว 1,930-1,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ซึ่งเรามองว่าการปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านดังกล่าวของราคาทองคำ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยขายทำกำไรการรีบาวนด์ของราคาทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของประธาน ECB (Christine Lagarde) รวมถึงเจ้าหน้าที่ของ ECB ท่านอื่นๆ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟดเช่นกัน
และนอกเหนือจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลาง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดการเงินได้ โดยในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า รายงานผลประกอบการส่วนใหญ่ยังคงให้ภาพแนวโน้มผลประกอบการที่ไม่สดใสนักหรือผลประกอบการล่าสุดออกมาแย่กว่าคาด ทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงอยู่