สิงห์ เอสเตท ปรับพอร์ตหันมารุกตลาดแนวราบ ขยายเพิ่ม 2-3 เซกเมนต์ใหม่ รวม 6 โครงการ มูลค่าสูงถึง 13,000 ล้านบาท พร้อมชูแนวคิด Sustainable Diversity สร้างความหลากหลาย เจาะกลุ่มตลาดใหม่ พร้อมเปิดตัวโครงการ Super Luxury “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ภายใต้คอนเซ็ปต์ TRUE LEGACY LIVES NOW ด้วยยอดโอนแล้วกว่า 830 ล้านบาทก่อนวันเปิดตัว
นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า เดิมทางบริษัทฯ จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีเป็นหลัก โดยผลงานที่ออกสู่ตลาดไปแล้วมี 2 โครงการ ได้แก่ คอนโดมิเนียมในแบรนด์ The ESSE และ The EXTRO ซึ่งปัจจุบันมียอดขาย 80% และ 35% ตามลำดับ และในปี 2561 ได้ขยายตลาดไปสู่การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Ultra Luxury ภายใต้ชื่อโครงการ ‘สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส’ จำนวน 25 ยูนิต มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ในราคาเฉลี่ย 250 ล้านบาทยูนิต ซึ่งมีผลตอบรับที่ดี และสามารถปิดการขายทั้งโครงการไปในปี 2564
โดยในปีนี้ทางบริษัทฯ ได้มีแผนที่จะขยายตลาดเข้าสู่เซกเมนต์ใหม่ โดยกำหนดเป้าอย่างน้อย 2-3 เซกเมนต์ ด้วยโครงการใหม่อีก 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 13,000 ล้านบาท ภายใต้แนวคิดหลักที่ยังคงยึดมั่นในมาตรฐานสิงห์ เอสเตท ที่ให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องคือ คุณภาพ ความสุขของครอบครัว และความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน
"โครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส คือ หนึ่งในจุดเริ่มต้นสำคัญของการขยายตลาดเข้าสู่เซกเมนต์ใหม่ของสิงห์ เอสเตท ซึ่งการทำตลาดในกลุ่ม Super Luxury นั้นเป็นผลต่อเนื่องจากประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการระดับ Ultra Luxury อย่างสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ด้วยเหตุนี้สิงห์ เอสเตท จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบ้านแบบสิงห์ เอสเตท ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่หลากหลาย แต่สร้างความสมดุล และลงตัวสำหรับการพักอาศัย เพื่อให้บ้านเปรียบเสมือนมรดกที่สามารถส่งต่อไปยังรุ่นสู่รุ่น และยังทรงคุณค่าทุกรายละเอียดการออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ การออกแบบฟังก์ชันต่างๆ ภายในบ้านต้องได้รับความใส่ใจและตอบโจทย์การใช้ชีวิต เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่สร้างคุณค่าให้ลูกค้า และวันนี้เราพร้อมเปิดโครงการ ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ 32 บ้านแนวราบระดับ Super Luxury มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดมียอดจองไปแล้วร้อยละ 95 รวมถึงยอดโอนในปีที่แล้วกว่า 830 ล้าน ในปลายปี 2565 ซึ่งสะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่น และความมั่นใจของลูกค้าที่มีต่อบ้านจากสิงห์ เอสเตท” นายณัฐวุฒิ กล่าว
โครงการ ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ระดับ Super Luxury บนแปลงที่ดินขนาดใหญ่ย่านพัฒนาการ ใกล้ทองหล่อเพียง 5 กิโลเมตร รายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชีวิตคนเมืองครบครัน มอบสังคมส่วนตัวสุดเอ็กซ์คลูซีฟด้วยจำนวนบ้านในโครงการเพียง 28 หลัง บนพื้นที่ 23 ไร่ ในราคา 65-180 ล้านบาท โครงการถูกรังสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด “True Legacy Lives Now” ซึ่งให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยแบบครอบครัว หรือ Family-Oriented เน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ของสมาชิกทุกคนเพื่อให้บ้านไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ แต่หมายถึงการสร้างความสุขร่วมกันและความทรงจำที่จะคงอยู่ตลอดไป
นายณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า บ้านศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ถูกออกแบบบน 3 ปรัชญาหลักของการสร้างบ้านแบบสิงห์ เอสเตท ได้แก่ Quality Living, Healthy Living และ Sustainable Living ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าของบ้านที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่า เป็นศูนย์รวมแห่งความทรงจำอันทรงคุณค่าเพื่อการส่งต่อคุณค่านั้นจากรุ่นสู่รุ่น โดยศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ได้รับการออกแบบเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น สไตล์ Modernism Tropical Architecture นำเสนอฟังก์ชันบ้าน 3 แบบ Residence I ขนาด 820 ตร.ม. Residence II ขนาด 682 ตร.ม. และ Residence III ขนาด 551 ตร.ม.
และอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญ คือ ทำเลศักยภาพแบบ “บ้านในเมือง” ที่เชื่อมต่อไปโซนธุรกิจหลักได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นเส้นสุขุมวิท ทองหล่อ เอกมัย ที่ห่างเพียง 5 กิโลเมตร หรือเชื่อมต่อโซนเศรษฐกิจหลักบนถนนพระราม 9 รายล้อมด้วยแหล่งสาธารณูปโภคทั้งไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตีมอลล์ ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าบีทีเอส สวนสาธารณะ โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ และยังอุ่นใจเรื่องสุขภาพเพราะตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาลชั้นนำหลายแห่ง ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านในเมืองและให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยแบบครอบครัวเพื่อสร้างคุณค่า ความสุข และความทรงจำที่สมบูรณ์แบบของทุกคนในครอบครัว
นอกจากการพัฒนาโครงการ ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส แล้ว ทางบริษัทฯ ยังได้พัฒนาโครงการโฮมออฟฟิศ ภายใต้ชื่อ SENTRE (เซนท์เทอร์) บนเนื้อที่ 200 ตารางวา บริเวณด้านหน้าโครงการ จำนวน 4 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 42 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 347 ตร.ม.ราคาเริ่มต้น 21.9 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มียอดจองแล้ว 50% ของจำนวนยูนิตที่พัฒนา
ทั้งนี้ การรุกเข้าตลาดแนวราบจะส่งผลให้โครงการรายได้ในปี 2566 จะปรับเปลี่ยน โดยรายได้หลักจากแนวราบจะขยับจาก 50% ในปี 2565 เพิ่มมาอยู่ที่ 70% ในปีนี้ และอีก 30% มาจากโครงการคอนโดมิเนียม จากปีที่ผ่านมาจะมีสัดส่วนประมาณ 50%