xs
xsm
sm
md
lg

จีนเปิดประเทศหนุนกลุ่มโรงแรมคึก ประเมินปี 66 นักท่องเที่ยวแตะ 25 ล้านคน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตัวเลขท่องเที่ยวฟื้นตัวดีตามคาด เผยตัวเลข 9 เดือนแรกปี65 ทะลุ 6 ล้านคน เชื่อทั้งปีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะเป้าหมาย 10 ล้านคน ขณะปี66 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในไทยถูกปรับเป้าหมายจาก 18 ล้านคนเป็น 25 ล้านคน หลังจีนประกาศเปิดประเทศ โบรกเกอร์มองหลังน่านฟ้าเปิด หนุนนักท่องเที่ยวเดินทางคึกคักทั่วโลก พร้อมแนะนำหุ้นเด่น 4 ตัวกลุ่มนี้ ERW , CENTEL , MINT และ SHR รับผลดีชัดเจน 

หุ้นธุรกิจโรงแรมหลายแห่งที่โบรกเกอร์ต่าง ๆ ประเมินหลังการเปิดเมืองอีกทั้งมาตรการที่รัฐผ่อนปรน จึงเชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวคึก เพราะในประเทศมีกิจกรรมต่างๆ นอกบ้านมากขึ้น อีกทั้งมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น นั่นก็จะทำให้ผลประกอบการฟื้นตัวจากที่เคยตกต่ำสุดขีดผลประกอบการขาดทุนหนัก เพราะตั้งแต่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด – 19 ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบมากสุด ดังนั้น หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมา การฟื้นตัวในหลากหลายธุรกิจก็ทยอยเห็นภาพชัดเจนขึ้นตามลำดับ ซึ่งโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่งก็เช่นกัน

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีมุมมองบวกกับโรงแรมหลายแห่งที่จะเห็นผลชัดเจน อย่าง ERW หรือ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), CENTEL หรือ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน), MINT หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), SHR หรือ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป จากตารางงบการเงินจะพบว่ารายได้ของโรงแรมทั้ง 4 แห่ง งวด 9 เดือนนั้น สูงกว่ารายได้รวมทั้งปีของปี 2564 ขณะตัวเลขที่ขาดทุนนั้นเป็นตัวเลขขาดทุนลดลง 

ขณะเดียวกัน คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบหลักการให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมปีละ 40 บาทต่อห้องพัก เป็นเวลา 2 ปีตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565-30 มิถุนายน 2567 เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังคงมีต้นทุนการดำเนินงานที่เร่งตัวขึ้น จากราคาพลังงานที่ทรงตัวระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลโดยตรงต่ออัตราค่าไฟฟ้า, วัตถุดิบอาหาร, ค่าขนส่ง ฯลฯ และความหวังของผู้ประกบการโรงแรมคงหนีไม่พ้นการที่เห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในประเทศ

แม้ว่า หลังการเปิดประเทศพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นฝั่งยุโรปและตะวันออกกลาง ทว่าล่าสุด รัฐบาลจีนประกาศเปิดประเทศของจีน หลังดำเนินมาตรการล็อกดาวน์อย่างเข็มงวดมาประมาณ 3 ปี ทำให้เกิดมุมมองในเชิงบวกต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย เพราะจะได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวจีนที่ทะลักเข้ามาไทย ซึ่งนั่นก็จะยิ่งส่งผลดีต่อผู้ประกอบการโรงแรมหนุนให้รายได้เพิ่มอย่างเห็นได้ชัด

ส่งผลให้มีการประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยปี66 ถูกปรับเป้าหมาย จากเดิมที่คาดว่า จะมีจำนวน 18 ล้านคน แต่หลังจากจีนประกาศเปิดประเทศ จึงเพิ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไปเป็นประมาณ 25 ล้านคน นั่นก็ทำให้หุ้นที่เกี่ยวกับการเปิดเมืองคึกคักขึ้นมา

บล.ดาโอ** ประเมินหุ้นกลุ่ม Tourism แนะนำ "Overweight" หลังการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เผยนักท่องเที่ยว 9 เดือนปี 2565 ที่ 6 ล้านคน ฟื้นตัวดีตามคาด ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 ก.ย. 65 พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 6,018,943 คน ทะลุ 6 ล้านคนตามที่ ททท.หรือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และมีความเป็นไปได้สูงว่าประเทศไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงเป้าหมาย 10 ล้านคนในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าในช่วงไตรมาส 4 ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 1.5ล้านคนต่อเดือน

ดังนั้น บล.ดาโอ มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวใน 9 เดือนแรกปีนี้ ที่แตะระดับ 6 ล้านคน(ตัวเลขนักท่องเที่ยวจาก ททท. จะมากกว่าตัวเลขของกระทรวงท่องเที่ยวฯราว 100,000-150,000 คน) ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีตามคาด ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในเดือน ก.ย. 65 อยู่ที่ 1.38 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 6% จากเดือนก่อ ) ขณะที่ ททท. คาดจำนวนนักท่องเที่ยวในไตรมาส 4 ปี 65 จะอยู่ที่ระดับ 1.5 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งใกล้เคียงกับที่ บล.ดาโอ คาดในปี 2565 ที่ 10 ล้านคน ซึ่งหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากมาก-น้อยเรียงตามสัดส่วนรายได้ในประเทศไทยจากมาก-น้อยคือ ERW (88%), CENTEL (80%),MINT (15%) และ SHR (5%)

บล.ดาโอ ยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” ชอบ ERW, CENTEL, AOT, BAFS สำหรับหุ้นกลุ่ม Tourism ยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดย บล.ดาโอ ชอบ CENTEL (ซื้อ/เป้า 55.00 บาท) เพราะได้ประโยชน์ทั้งจากธุรกิจโรงแรมที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาด โดยผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 65 จะเห็นเป็นกำไรทุกไตรมาส ฟื้นตัวได้ดีตาม seasonal ประกอบกับธุรกิจอาหารมีการเติบโตได้แม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ERW (ซื้อ/เป้า 4.80 บาท) ชอบเพราะเป็น Pure hotel โดย บล.ดาโอ คาดว่าครึ่งหลังปี 65 จะเห็น momentum ของการฟื้นตัวได้ดีจากการเข้าสู่ช่วง High season ของไทย ซึ่ง ERW จะได้ รับผลประโยชน์สูงที่สุดเพราะมีสัดส่วนโรงแรมในประเทศไทยสูงที่สุดในกลุ่มที่ 88% และมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนสูงที่สุดในกลุ่มราว 15% AOT (ซื้อ/เป้า 82.00 บาท) เนื่องจากจะได้ประโยชน์โดยตรงจากจำนวนผู้โดยสารที่ฟื้นตัวBAFS (ซื้อ/เป้า 35.00 บาท) เพราะได้อานิสงส์จากจำนวนเที่ยวบินและปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้น

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ บล.เมย์แบงก์ฯ มองผลประกอบการกลุ่มโรงแรมเริ่มฟื้นตัว คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยเพิ่มขึ้นแตะ 9 ล้านคนในปี 2565 เทียบกับเพียง 4 แสนคนในปี 2564 ราคาหุ้นของ DUSIT หรือบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ไปในทิศทางเดียวกับ SET ขณะที่ ERW หรือบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ MINT หรือบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) วิ่งแรงแซงดัชนี SET อย่างเห็นได้ชัด (25% และ 20% ตามลำดับ) เนื่องจากธุรกิจโรงแรมมีส่วนแบ่งรายได้โรงแรมมากกว่า DUSIT และ VRANDA หรือบริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทั้ง 2 รายหลังมีรายได้ประมาณ 50% จากการบริหารทรัพย์สิน

โดย บล.เมย์แบงก์ฯ พบอีกว่า โรงแรมในต่างประเทศจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าในประเทศไทย เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนเร็วกว่า และคาดว่าการฟื้นตัวของประเทศไทยจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง คงแนะนำ “ซื้อ” MINT เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของโรงแรมในยุโรป (50% ของรายได้ปกติ) ซึ่ง RevPar อาจใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด (2562) ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 65 เป็นต้นไป แนะนำ “ถือ” ERW และเชื่อว่าด้วยสัดส่วน 90% หรือรายได้จากโรงแรมในประเทศไทยน่าจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในครึ่งหลังของปีนี้ตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวของไทย


บล. ฟินันเซีย ไซรัส มองธุรกิจโรงแรมของไทยเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 ซึ่งช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้ว 1.5 ล้านคน ขณะที่คาดว่าเดือน พ.ย.นี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 1.6-1.7 ล้านคน ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี ขณะเดียวกันกลางเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาไทยยังเป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC) ถือเป็นอีกปัจจัยหนุนให้อัตราค่าห้องพัก , อัตราการเข้าพัก ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 นี้ด้วย รวมทั้งหนุนให้รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยของธุรกิจโรงแรมกลับสู่ระดับที่สูงกว่าปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่ก่อนเกิดโควิด-19 และเชื่อว่าจะยังดีต่อเนื่อง

ดังนั้น จึงมองว่า ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ หุ้นในกลุ่มธุรกิจโรงแรมจะดีทั้งกลุ่ม แนะนำ “ซื้อ” หุ้นโรงแรม เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากปัจจัยข้างต้น ประกอบด้วย บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กำหนดราคาเป้าหมาย 40 บาท, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTELราคาเป้าหมาย 54 บาท, บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ราคาเป้าหมาย 5 บาท, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ราคาเป้าหมาย 4.70 บาท , บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท และบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ราคาเป้าหมาย 18 บาท

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด( มหาชน) หรือ บล.เคจีไอฯ มองหุ้น Hotel Sector ให้แนะนำ "Overweight" เพราะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นของนักท่องเที่ยวจีน เพราะ บล.เคจีไอ คาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะฟื้นตัวอยู่ที่ราว 4 ล้านคนในปี 2566F (หรือกลับมาสู่ระดับ 36% ก่อนโควิด-19 และเป็นการฟื้นตัวแรงจากฐานที่ต่ำราว 250,000 คน ในปีนี้) ทั้งนี้ บล.เคจีไอ สังเกตเห็นปัจจัยสำคัญที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน ประกอบด้วยมาตรการควบคุมโควิด-19 มีการผ่อนคลายมากขึ้น กรุ๊ปทัวร์จีนเริ่มกลับมา และ บล.เคจีไอฯ คาดประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางลำดับต้น ที่นักท่องเที่ยวจีนจะเลือกเดินทางมา

ดังนั้น จึงยังคงประมาณการจํานวนนักท่องเที่ยวที่ 11 ล้านคนในปี 2565 และ 25 ล้านคนปี 2566 บล.เคจีไอฯ ยังคงประมาณการจำนวนท่องเที่ยวอยู่ที่ 11 ล้านคน ในปี 2565 และ 25 ล้านคน สำหรับปี 2566 ทั้งนี้ ในระยะสั้น บล.เคจีไอฯ คาดจำนวนนักท่องเที่ยวในไตรมาส 4 ปี 2565 จะเร่งตัวอยู่ที่ 5.4 ล้านคน (เพิ่มขึ้นจาก 3.6 ล้านคนในไตรมาส 3 ปี 2565) สำหรับปี 2566 บล.เคจีไอฯ คงมุมมองเชิงบวกต่อ sentiment การท่องเที่ยวโลก โดย บล.เคจีไอฯ ได้รวม จำนวนนักท่องเที่ยวจีน 4 ล้านคนไว้ ในประมาณการปี2566 แล้ว แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังคงกลับมาน้อย (laggard) ในช่วงไตรมาส 10 เดือนแรกปี 65 ซึ่งคิดเป็นเพียง 2% ของช่วงก่อนโควิด-19 แต่ บล.เคจีไอฯ คาดว่าโมเมนตัม เร่งตัวได้ดีขึ้นอย่างมากในปี 2566 ยังไม่กังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อเร่งตัวขึ้นในบางประเทศ

อย่างไรก็ดี บล.เคจีไอฯ ยังไม่กังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่สูงขึ้นในบางประเทศ (เช่นจีน และญี่ปุ่น) เนื่องจาก จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันทั่วโลก ยังสามารถควบคุมได้ ผู้คนสามารถปรับตัวและเคยชินกับการดำเนินงานชีวิตประจำวันในสถานการณ์โควิด-19 แล้ว และคาดว่าหากมีมาตรการควบคุมโรคระบาดออกมาอีกจะเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น บล.เคจีไอฯ คงให้น้ำหนักกลุ่มโรงแรม Overweight และเลือก ERW และ SHR เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ยังสดใสในปี 2566 บล.เคจีไอฯ ยังคงให้ น้ำหนักกลุ่มโรงแรมที่ Overweight โดยมีหุ้นเด่นคือ The Erawan Group (ERW.BK/ERW TB) (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 5.10 บาท) และ SHotels and Resorts (SHR.BK/SHR TB) (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.90 บาท) 

จากข้อมูลข้างต้นคงไม่ได้หมายถึงเฉพาะหุ้นที่เอ่ยถึงเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายธุรกิจหรือหุ้นอีกหลายๆ ตัวที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอันจะได้รับอานิสงส์ตามกัน แม้ว่าการท่องเที่ยวยังไม่คึกคักเหมือนช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด19 แต่หากการท่องเที่ยวฟื้น ก็จะเป็นอีกฟันเฟืองหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งผลต่อผู้ประกอบการในหลายภาคส่วนเริ่มมีรอยยิ้มกันบ้างแล้ว จึงเชื่อว่าการท่องเที่ยวจะเป็นธุรกิจที่กระเตื้องขึ้นอย่างโดดเด่นในปี 2566 และช่วยสร้างสีสันในตลาดหุ้นบ้าง


กำลังโหลดความคิดเห็น