แม้ดัชนีหุ้นจะพุ่งทะยานเกือบ 10 จุด มูลค่าการซื้อขายกลับเบาบางมาก สร้างจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 3 ปี เนื่องจากนักลงทุนพากันชะลอซื้อขายหุ้น
บรรยากาศการซื้อขายหุ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกของสัปดาห์สุดท้ายปีเก่า แม้ดัชนีจะปรับตัวขึ้นตลอดทั้งวัน ก่อนจะปิดที่ 1,626.80 จุด เพิ่มขึ้น 9.25 จุด แต่มูลค่าการซื้อขายลดวูบเหลือเพียง 29,439 ล้านบาท ซึ่งต่ำสุดในรอบ 3 ปี
ภาวะตลาดในช่วงปลายปีถือว่าเงียบมาก จากมูลค่าการซื้อขายวันละเฉียด 1 แสนล้านบาทในช่วงต้นปี ก่อนจะลดลงเหลือวันละประมาณ 6 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่ใกล้ส้นปี ตลาดหุ้นใกล้สิ้นใจ เพราะการซื้อขายหงอยเหงามาก
มูลค่าการซื้อขายที่ลดฮวบลงไม่ได้เกิดจากนักลงทุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งชะลอการซื้อขาย แต่ทั้งนักลงทุนสถาบัน พอร์ตโบรกเกอร์ นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนรายย่อยพร้อมใจกันชะลอธุรกรรมซื้อขายหุ้น
สาเหตุเพราะขาดแรงกระตุ้นในการช้อนเก็บหุ้น แม้ราคาหุ้นจะปรับฐานลงมาในระดับต่ำจนน่าสนใจก็ตาม
ปกติช่วงปลายปี นักลงทุนจะเฝ้ารอจังหวะ ช้อนซื้อหุ้นเพื่อดักรอทำกำไรในปีหน้า แต่เนื่องจากแนวโน้มตลาดหุ้นปี 2566 ไม่สดใส และอาจผันผวนหรือซบเซาไม่แตกต่างจากปีนี้ จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะต้องรีบร้อนช้อนซื้อหุ้น นอกจากนั้น ยังมีความเสี่ยงที่หุ้นจะทรุดลงอีก
นักลงทุนบางส่วนอาจหันหลังให้ตลาดหุ้นไปแล้ว เตรียมตัวเดินทางท่องเที่ยวเทศกาลปีใหม่ ลาพักยาวๆ จากตลาดหุ้น ส่วนนักลงทุนที่ยังเฝ้าหน้าจออยู่ ปรับกลยุทธ์ตัวเองกลายเป็นนักสังเกตการณ์ รอสัญญาณหุ้นฟื้นตัวจึงกลับเข้ามาลงทุนใหม่
ส่วนนักลงทุนต่างชาติหยุดยาวกันแล้ว ฉลองเทศกาลคริสต์มาส และสังสรรค์ต่อในเทศกาลปีใหม่ จะกลับมาลงทุนเต็มตัวอีกครั้งต้นปีหน้า
บรรยากาศการซื้อขายที่เงียบสนิททำให้นักลงทุนหดหู่ โดยเฉพาะนักลงทุนที่แบกหุ้นต้นทุนสูงไว้เต็มพอร์ต แต่บริษัทโบรกเกอร์กว่า 40 แห่งก็เศร้าไม่แพ้นักลงทุน
เพราะถ้าวอลุ่มซื้อขายปรับตัวลงมาสู่ระดับวันละ 2-3 หมื่นล้านบาท โบรกเกอร์ทั้งระบบกว่า 40 แห่งจะต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ต้องควบคุมต้นทุนเพื่อให้สมดุลกับรายได้ค่านายหน้าที่จะลดตามวอลุ่ม
โบรกเกอร์กำลังเจอมรสุมหนักจากผลกระทบหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE จนบางโบรกเกอร์ต่างประกาศเพิ่มทุนด่วน เช่น บริษัท หลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ยังถูกซ้ำเติมด้วยวอลุ่มซื้อขายที่ลดฮวบฮาบ และอาจทำให้โบรกเกอร์ขนาดเล็กที่สายป่านสั้นอาจไปไม่รอด
อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายที่หล่นลงมาต่ำกว่า 3 หมื่นล้าน ไม่น่าจะเป็นจุดต่ำสุด เพราะอาจได้เห็นวอลุ่มซื้อขายหุ้นระดับต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน
ถ้าไม่ได้เห็นในช่วงสัปดาห์ส่งท้ายปีก่อน ก็คงได้เห็นประมาณ 3 เดือนข้างหน้า ก่อนเทศกาลสงกรานต์ หลังจากภาษีการขายหุ้นในอัตรา 0.055% มีผลบังคับใช้
เพราะสภาพคล่องการซื้อขายลดลง นักเก็งกำไรระยะสั้น โดยเฉพาะเดย์เทรดต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เนื่องจากต้นทุนการซื้อขายสูงขึ้น ขณะที่นักลงทุนรายใหญ่ เจ้ามือหุ้นที่อยู่เบื้องหลังการลากราคาหุ้นอาจต้องยุติบทบาท
เพราะต้นทุนการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นอาจไม่คุ้มกับความเสี่ยงในการปั่นราคาหุ้น
วอลุ่มการซื้อขายระดับต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท ทำให้ตลาดหุ้นตกอยู่สภาพวังเวง นักลงทุนอาจใจฝ่อ เพราะไม่คุ้นชินกับความเงียบเหงา
สัปดาห์นี้หุ้นคงเงียบสงัด วอลุ่มซื้อขายหด และเมื่อภาษีขายหุ้นประกาศใช้ตลาดหุ้นอาจเงียบราวป่าช้า
นักลงทุนต้องเตรียมใจไว้ และปรับพฤติกรรมลงทุนให้สอดคล้องกับการลงทุนที่จะต้องอิงปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่เก็งกำไรอย่างไร้เหตุผลเหมือนปัจจุบัน
