xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดดีดแข็งค่าที่ 35.03 มองผันผวนในฝั่งอ่อนค่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 34.50-35.20 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดเช้านี้ที่ระดับ 35.03 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 34.75 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 2 ธันวาคม) และคาดกรอบเงินบาทวันนี้ที่ระดับ 34.90-35.10 บาท/ดอลลาร์ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดยังคงได้แรงหนุนจากความหวังการผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ในจีน รวมถึงแนวโน้มเฟดชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย

ส่วนในสัปดาห์นี้ เรามองว่าควรจับตา สัญญาณเงินเฟ้อสหรัฐฯ ผ่านดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อ เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด และควรติดตามสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีน

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนฝั่งอ่อนค่าตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และควรระวังแรงขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงและสกุลเงินฝั่งเอเชียในระยะสั้นในกรณีที่ตลาดกลับมาปิดรับความเสี่ยง นอกจากนี้ หากราคาทองคำย่อตัวลงอาจมีโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่าเงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้น หากตลาดกลับมาปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะในกรณีที่ดัชนี PPI รวมถึงคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอลงมาก นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจได้แรงหนุนหากตลาดกังวลสถานการณ์ COVID-19 ในจีน เช่น ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น จนทางการจีนไม่สามารถผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดไปได้มาก
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ - ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินสถานการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ ผ่านดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนพฤศจิกายน โดยตลาดคาดว่าความต้องการสินค้าที่ลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงปัญหา Supply Chain ที่คลี่คลายลงไปมากจะช่วยลดแรงกดดันต่อราคาสินค้าฝั่งผู้ผลิต โดย PPI อาจชะลอลงสู่ระดับ 7.2% จาก 8.0% ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนว่า แรงกดดันต่อเงินเฟ้อทั่วไปในส่วนราคาสินค้า (Goods Inflation) มีแนวโน้มชะลอลง อย่างไรก็ดี แรงกดดันเงินเฟ้อในฝั่งการบริการ (Services Inflation) อาจยังคงอยู่ในระดับสูง หลังจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ โดย ISM (Services PMI) เดือนพฤศจิกายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.5 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก และดัชนีราคาภาคการบริการยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 70 จุด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาวจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ซึ่งเรามองว่าต้องระวังในกรณีที่ดัชนี PPI ไม่ได้ชะลอลงตามคาด หรือเงินเฟ้อคาดการณ์กลับเร่งตัวขึ้น อาจทำให้ตลาดพลิกกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและกลับสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ได้

▪ ฝั่งยุโรป - ตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยตลาดมองว่า เจ้าหน้าที่ ECB จะยังคงส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในอัตราชะลอลง (+50bps จาก +75bps) หลังอัตราเงินเฟ้อยูโรโซนชะลอลง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย Deposit Facility Rate ของ ECB อาจปรับขึ้นใกล้ระดับ 3.00% ได้ในปีหน้า จากระดับล่าสุด 1.50%

▪ ฝั่งเอเชีย - ตลาดมองว่าภาคการค้าระหว่างประเทศของจีนจะซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัดจากผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 ในจีนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นและภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง โดยยอดการส่งออก (Exports) ในเดือนพฤศจิกายนอาจหดตัวมากขึ้นถึง -4.3%y/y ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) อาจหดตัวกว่า -7.1%y/y สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่สะท้อนภาวะหดตัวในอัตราเร่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี ภาพเศรษฐกิจจีนที่ยังคงซบเซาจะช่วยลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ โดยตลาดมองว่าเงินเฟ้อทั่วไปของจีนจะชะลอลงสู่ระดับ 1.6% ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) สามารถใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อพยุงเศรษฐกิจได้ หากปราศจากแรงกดดันเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ในส่วนนโยบายการเงิน ตลาดประเมินว่าธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 3.10% ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า RBA อาจจบรอบขาขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 3.10% หรือปรับขึ้นอีกเล็กน้อยสู่ระดับ 3.25% ในการประชุมครั้งถัดไป หลังภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อออสเตรเลียนั้นชะลอลงมากขึ้น ส่วนธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในอัตราชะลอลง +25bps (จาก +50bps ในครั้งก่อนๆ) ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นสู่ระดับ 6.15% หลังเงินเฟ้อเริ่มชะลอลงมากขึ้น อีกทั้งสกุลเงินรูปีอินเดีย (INR) เริ่มแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ลดแรงกดดันต่อ RBI ในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อช่วยประคองค่าเงิน

▪ ฝั่งไทย - เราประเมินว่าแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยที่ได้รับอานิสงส์จากการบริโภคในประเทศจะช่วยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ยังคงอยู่ในระดับ 3.2% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) จะทรงตัวที่ระดับ 6.0% (คิดเป็นการเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า +0.3%) ทั้งนี้ เงินเฟ้อของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องจากระดับฐานราคาสินค้าและบริการที่สูงในปีนี้ ขณะที่แรงกดดันด้านอุปทานเริ่มคลี่คลายลง ทำให้แม้เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่ไม่ได้น่ากังวลมากนัก ทำให้เราคงมองว่า ธปท. จะทยอยเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งละ 25bps จนแตะระดับ 2.00% ได้ในปีหน้า นอกจากนี้ ภาพการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจไทยจะสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนพฤศจิกายน ที่อาจปรับตัวขึ้นแตะระดับ 47 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น