xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดที่ 35.40 จับตาถ้อยแถลงเฟด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (30 พ.ย.) ที่ระดับ 35.40 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.42 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.30-35.60 บาท/ดอลลาร์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะได้แรงหนุนจากความหวังว่า ทางการจีนอาจผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ได้เร็วกว่าคาด จากแรงกดดันของการประท้วงในหลายพื้นที่ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้หนุนให้บรรดาหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้นแรง เช่น Alibaba +9.1% Pinduoduo +5.9% แต่ทว่าผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell (รับรู้ในช่วงเวลา 1.30 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย) ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวต่อแนวโน้มดอกเบี้ย/บอนด์ยิลด์ ก่อนที่จะรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด (Amazon -1.6% Nvidia -1.2%) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.59% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.16% สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าการกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินบาท (หลุดโซนรับแรกที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์) นั้นมาจากประเด็นความหวังของผู้เล่นในตลาดที่มองว่า ทางการจีนจะสามารถทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด COVID-19 ได้เร็วกว่าคาด แม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีทิศทางแข็งค่าขึ้น และราคาทองคำย่อตัวลงก็ตาม ซึ่งเรามองว่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อใกล้โซนแนวรับแถว 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากทางการจีนมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดตามที่ตลาดคาดหวัง แต่ต้องระวังความผันผวนที่อาจกลับมาและกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ หากสุดท้ายทางการจีนไม่ได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดอย่างที่ตลาดคาดหวัง

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทอาจผันผวนอ่อนค่าลงได้ หากถ้อยแถลงของประธานเฟดเน้นย้ำจุดยืนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด จนกว่าเฟดจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่าเฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับสูงกว่า 5.00-5.25% ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ล่าสุด อย่างไรก็ดี หากเงินบาทผันผวนในฝั่งอ่อนค่าลง เราประเมินว่าเงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าหนักมากจนทะลุโซนแนวต้านแถว 35.90-36.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ง่ายนัก เนื่องจากบรรดานักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทย ทั้งหุ้นและบอนด์สุทธิอยู่ ส่วนผู้เล่นต่างชาติบางส่วนรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าลงเพื่อเพิ่มสถานะ Short USDTHB (มองว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นได้)

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรปยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.13% ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ระมัดระวังตัวมากขึ้น และเลือกที่จะลดการถือครองหุ้นกลุ่มเทคฯ (Adyen -3.2% ASML -1.2%) เพื่อรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด รวมถึงรายงานเงินเฟ้อของยูโรโซนที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้รับแรงหนุนจากการรีบาวนด์ขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Equinor +4.0% Total Energies +2.1%) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากความหวังทางการจีนอาจผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด COVID-19 ได้เร็วกว่าคาด

ทางด้านตลาดบอนด์ บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.75% อีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะลดการถือครองบอนด์ระยะยาวออกมาบ้าง ก่อนที่จะรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด นอกจากนี้ ในช่วงก่อนหน้าบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดเริ่มส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและเจ้าหน้าที่เฟดบางท่าน เช่น James Bullard มองว่า เฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยได้สูงกว่าระดับ 5.00-5.25% ที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกังวลต่อระดับจุดสูงสุดของดอกเบี้ยนโยบายเฟด (Terminal Rate) และเลือกที่จะขายทำกำไรหรือลดสถานะถือครองบอนด์ระยะยาวออกมาบ้าง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องพอสมควร (ปรับตัวลดลงราว -50bps ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน)

ในฝั่งตลาดค่าเงิน ท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ระมัดระวังตัวมากขึ้นก่อนจะรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟดนั้น ได้ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดและส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 106.8 จุด นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1,748 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่าหากราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องใกล้โซนแนวรับ 1,730-1,740 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจส่งผลให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวของผู้เล่นในตลาด ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยหนุนการอ่อนค่าของเงินบาทได้
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ถ้อยแถลงของประธานเฟด (รับรู้ในช่วงเช้าตรู่ 1.30 น. ของวันพฤหัสฯ) ว่า ประธานเฟดจะมีมุมมองอย่างไร โดยต้องระวังหากประธานเฟดส่งสัญญาณย้ำว่า เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกมาก เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ตลาดอาจกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ได้ไม่ยาก

ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจะกดดันให้ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ของญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม หดตัวกว่า -1.8% จากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับแนวโน้มดัชนี PMI ภาคการผลิตของญี่ปุ่นที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ส่วนในฝั่งจีน บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะยังคงเผชิญแรงกดดันจากมาตรการ Zero COVID ท่ามกลางการระบาดของ COVID-19 ในจีนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีนหดตัวลงต่อเนื่อง สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนพฤศจิกายน ที่จะลดลงสู่ระดับ 49.2 จุด และ 48 จุด ตามลำดับ

ทางด้านฝั่งไทย เรามองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ไม่ได้รุนแรงมากเช่นในฝั่งสหรัฐฯ หรือยุโรป จะทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 1.25% ทั้งนี้ เรามองว่าควรติดตามคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีหน้า รวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่ กนง. กังวล เพื่อประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของไทย (ล่าสุด เรามองว่า กนง. จะสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ถึงระดับ 2.00% ในกลางปีหน้า)

ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของยูโรโซนในเดือนพฤศจิกายนอาจชะลอลงสู่ระดับ 10.4% หลังแรงกดดันจากราคาสินค้าพลังงานและค่าไฟฟ้าเริ่มลดลง อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ยังอยู่ในระดับสูงถึง 5.0% ทำให้ตลาดยังคงมองว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ โดย อัตราดอกเบี้ยนโยบาย Deposit Facility Rate อาจปรับขึ้นใกล้ระดับ 3.00% ได้ในปีหน้า จากระดับล่าสุด 1.50%
กำลังโหลดความคิดเห็น