แม้ไม่ได้ทำให้บิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเหมือนเอลซัลวาดอร์เมื่อปีที่แล้ว แต่บราซิลทำดีกว่านั้นด้วยการผ่านกฎหมายอนุญาตให้ใช้คริปโตชำระค่าสินค้าและบริการทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าสำคัญของแดนแซมบ้าทั้งด้านกฎระเบียบและการยอมรับสกุลเงินดิจิตอล รวมถึงการขยายระบบนิเวศคริปโต
วันอังคารที่ผ่านมา (29 พ.ย.) สภาผู้แทนราษฎรบราซิลผ่านกรอบโครงกฎระเบียบที่จะอนุญาตให้ใช้คริปโตเป็นเครื่องมือชำระเงินอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั่วประเทศ รอเพียงประธานาธิบดีลงนามรับรองเพื่อบังคับใช้เท่านั้น
ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นความคืบหน้าสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมคริปโตในแดนแซมบาในแง่กฎระเบียบและการยอมรับในหมู่นักลงทุน โดยปัจจุบัน บราซิลเป็นประเทศที่มีกองทุนคริปโต ETF มากที่สุดในละตินอเมริกา ขณะที่ธนาคารและโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ในประเทศนี้นำเสนอบริการการลงทุนในคริปโตบางประเภท หรือบริการที่คล้ายการรับฝากสินทรัพย์ดิจิตอลหรือการเสนอขายโทเคนแก่นักลงทุน
การผ่านกฎหมายนี้ไม่ได้ทำให้สกุลเงินดิจิตอลเป็นสกุลเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายภายในบราซิล แต่จะทำให้คริปโตรวมถึงโปรแกรมสะสมไมล์ของสายการบินรวมอยู่ในคำจำกัดความของ “ข้อตกลงการชำระเงิน” ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกลาง
หลังจากได้รับการลงนามรับรองเพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายโดยประธานาธิบดีแล้ว คณะบริหารจะตัดสินใจว่า หน่วยงานใดจะรับผิดชอบในการกำกับดูแลการใช้สกุลเงินดิจิตอลในการชำระเงิน แม้โทเคนที่ถือเป็นหลักทรัพย์จะยังคงอยู่ภายใต้อำนาจการกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์บราซิล (CVM) ก็ตาม
นอกจากกำหนดให้คริปโตเป็นวิธีการชำระเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว กฎหมายใหม่ที่ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาตั้งแต่เดือนเมษายน ยังกำหนดให้แพลตฟอร์มเทรดคริปโต ผู้ให้บริการบริหารและรับฝากสินทรัพย์ดิจิตอล และบริษัทคริปโตอื่นๆ ต้องขอใบอนุญาตผู้ให้บริการเสมือน
หนึ่งในประเด็นสำคัญของกฎหมายนี้คือ การกำหนดให้แพลตฟอร์มเทรดคริปโตแยกกองทุนของบริษัทออกจากกองทุนของลูกค้าอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับ FTX ที่โยกเงินลูกค้าไปอัดฉีดปฏิบัติการการเงินของบริษัท
ทั้งนี้ เมื่อเดือนมิถุนายน มีการเปิดเผยข้อเสนอคล้ายกันนี้เพื่ออนุญาตให้ชาวบราซิลใช้คริปโตในการชำระเงินและป้องกันไม่ให้ศาลเข้าถึงไพรเวทคีย์ของผู้ใช้ ข้อเสนอนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้สินทรัพย์คริปโตเป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนและเข้าถึงสินค้า บริการ หรือการลงทุน
ขณะเดียวกัน ทิเอโก เซซาร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (CEO) ทรานส์เฟอโร กรุ๊ป ที่เกี่ยวโยงใกล้ชิดกับระบบนิเวศคริปโตของบราซิล ชี้ว่า แม้การล่มสลายของแพลตฟอร์มเทรดคริปโตชื่อดัง FTX ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนในแวดวงคริปโต แต่จะไม่กระทบการใช้คริปโตในชีวิตประจำวันของชาวแซมบา
อย่างไรก็ตาม กฎหมายใหม่ไม่ได้กล่าวถึงการเตรียมการออกสกุลเงินดิจิตอลของธนาคารกลาง (CBDC) แต่อย่างใด แม้ว่าบราซิลมีความคืบหน้าในเรื่องนี้มากพอสมควรก็ตาม
กฎหมายนี้ยังไม่มีข้อเสนอมอบผลประโยชน์ทางภาษีแก่เหมืองขุดคริปโต อีกทั้งเรียกร้องให้สอดส่องอุตสาหกรรมนี้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เนื่องจากยอมรับว่า สกุลเงินดิจิตอลช่วยอำนวยความสะดวกแก่แก๊งอาชญากร
นอกจากนี้ยังมีการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฉ้อโกงสินทรัพย์เสมือนด้วยการจำคุก 2-6 ปีและปรับ