เอสซีจี แพคเกจจิ้ง เดินหน้าขยายธุรกิจโซลูชันบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและความนิยมใช้บรรจุภัณฑ์ที่เน้นความสะดวก ปิดดีลขยายการลงทุนใหม่ เข้าซื้อทรัพย์สินธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) จาก "ไซเบอร์พริ้นท์กรุ๊ป" ดันกำลังการผลิตเพิ่ม ช่วยขยายเครือข่ายลูกค้า เพิ่มศักยภาพการจัดการวัตถุดิบ เสริมขีดความสามารถของบริษัทในการนำเสนอโซลูชันด้านการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า SCGP ได้ขยายการลงทุนผ่านการเข้าซื้อทรัพย์สินในธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) จากบริษัทไซเบอร์พริ้นท์กรุ๊ป จำกัด (Cyber) ซึ่งเป็นผู้ผลิตสิ่งพิมพ์และจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย ด้วยงบลงทุน 450 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินลงทุนในสินทรัพย์ ได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ที่ดิน อาคารสำนักงาน คลังสินค้า และสินค้าคงคลัง รวมถึงงบประมาณลงทุนสำหรับการขยายกำลังการผลิตในอนาคต และเงินทุนหมุนเวียนที่เกี่ยวข้อง
การลงทุนครั้งนี้เป็นการซื้อทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวเท่านั้น และ Cyber ยังคงดำเนินธุรกิจส่วนอื่นๆ ต่อไป โดยการขยายธุรกิจนี้ได้ดำเนินธุรกรรมผ่านบริษัทพรีแพค ประเทศไทย จำกัด (Prepack) ใน SCGP ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวคุณภาพสูงและมีการนำเสนอโซลูชันด้านการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานสากล ผ่านการรับรอง ISCC Plus โดย International Sustainability and Carbon Certification สำหรับการเป็นองค์กรที่มีการจัดการคาร์บอนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งห่วงโซ่อุปทาน ปัจจุบัน Prepack มีฐานการผลิต 3 แห่งในประเทศไทย โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมสินสาคร จังหวัดสมุทรสาคร
การลงทุนครั้งนี้จะส่งผลให้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวของ SCGP มีกำลังการผลิตในประเทศไทยรวมเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 12 โดยครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตส่วนเพิ่มดังกล่าวเป็นกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวในปัจจุบันของ Cyber ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร ใกล้กับที่ตั้งโรงงานของ Prepack และจะรวมเข้าเป็นกำลังการผลิตรวมของ Prepack ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 ส่วนกำลังการผลิตส่วนเพิ่มที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจะมาจากการขยายกำลังการผลิตในบริเวณพื้นที่เดียวกันตามที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ซึ่งจะทำให้ SCGP สามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ที่หลากหลายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอาหารสัตว์และกลุ่มอาหารเสริมที่เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมของ Cyber และยังส่งผลดีต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนที่เกิดจาการการรวมปริมาณการสั่งซื้อวัตถุดิบ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของบริษัทในการนำเสนอโซลูชันด้านการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง