ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ หุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE เพราะไม่รู้ว่า เจ้ามือ หรือรายใหญ่คนไหนขนหุ้นมาเทขาย จนราคารูดติดฟลอร์สนิท 2 วันติด
การซื้อขายเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา MORE เปิดซื้อขายในราคาที่ดีคือ ราคา 2.90 บาท สูงกว่าราคาปิดเมื่อวันพุธ 0.12 สตางค์ และมีปริมาณการซื้อขายที่ราคาเปิดจำนวน 1,531.77 ล้านหุ้น
ปริมาณหุ้นที่ซื้อขายในราคาเปิดถือว่าสูงผิดปกติ จนถูกตั้งคำถามว่า ใครเป็นคนตั้งซื้อ และใครเป็นคนตั้งขาย
แต่หลังเปิดที่ราคา 2.90 บาทแล้ว แรงขายได้ไหลทะลักเข้ามา จนราคาหุ้น MORE ปักหัวลงทันที และลงเหมือนคนท้องร่วง ลงเหมือนกับการดิ่งเหว จนกระทั่งเวลาประมาณ 11.30 น. ถูกทุบลงมาติดฟลอร์สนิท หรือติดเพดานต่ำสุด 30% ที่ราคา 1.95 บาท และยังมีคำสั่งขายรออีกประมาณ 70 ล้านหุ้น จนกระทั่งปิดตลาด
ราคา MORE ทรุดลง 83 สตางค์ หรือ 29.86% มูลค่าซื้อขาย 7,161.81 ล้านบาท หรือคิดเป็นปริมาณหุ้น 2,776.75 ล้านหุ้น และน่าจะเป็นมูลค่าซื้อขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของหุ้นตัวนี้
ตลาดหลักทรัพย์ได้สอบถามไปยัง MORE ทันทีเกี่ยวกับราคาหุ้นที่ผันผวน และได้รับการชี้แจงกลับว่า บริษัทไม่มีพัฒนาการใดๆ ที่ส่งผลอย่างมีนัยต่อราคาหุ้น
ทำไม MORE จึงทรุดหนัก ไม่คำอธิบายใด เพราะไม่มีข่าวร้ายหรือปัจจัยลบกระทบ นอกจากเดากันว่า เจ้ามือหรือรายใหญ่อาจได้เวลาขายทำกำไร หลังจากรอโอกาสมานาน
MORE เปลี่ยนชื่อมาจากบริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ DNA เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 และมีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ หลังจากบริษัทมีข่าวฉาวโฉ่เกี่ยวกับการฉ้อโกงเงินบิตคอยน์ของนักธุรกิจต่างประเทศ โดยขณะนี้มีชื่อของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เข้าถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 8% ของทุนจดทะเบียน
ราคาหุ้นจากไม่กี่สิบสตางค์ถูกปั้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนขึ้นมาสูงสุดที่ 2.98 บาท ทั้งที่ผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง เพียงแต่ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 1,158 ล้านบาท แต่เป็นกำไรที่เกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้และการขายทรัพย์สิน ไม่ได้เกิดจากผลประกอบการ
ผลกำไรปี 2564 ช่วยกระตุ้นราคาหุ้น MORE ให้เดินหน้าต่อ โดยมีแมลงเม่าตามแห่เขาไปเก็งกำไรมากขึ้น จนจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยเพิ่มเป็นกว่า 6,000 ราย
ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา หุ้น MORE เป็นขาขึ้นตลอด นักลงทุนตายใจ ไม่ทันระวังตัว ไม่คาดคิดว่าจะมีรายการทุบหุ้นเกิดขึ้น และทุบชนิดไม่ให้แมลงเม่ามีโอกาสตั้งตัว
วันพฤหัสบดีทุบติดฟลอร์สนิทตั้งเวลาประมาณ 11.30 น. วันศุกร์ทุบติดฟลอร์ต่อตั้งแต่เปิดการซื้อขาย โดยเปิดที่ 1.37 บาท ลบอีก 0.58 บาท หรือลบติดเพดานต่ำสุด 30% และไม่รู้ว่าจะทุบลงไปถึงจุดไหน
นักลงทุนรายย่อยที่ไม่หนีออกก่อน ไม่ขายไปก่อนหน้าต้องตายเป็นเบือ และไม่เฉพาะนักลงทุนที่ถือหุ้นสามัญเท่านั้น นักลงทุนที่ถือใบสัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญรุ่นที่ 2 หรือ MORE-W2 ก็เจ็บด้วย
เพราะ MORE-W2 เพิ่งเปิดให้แปลงสภาพเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยผู้ถือวอร์แรนต์จำนวน 197 ล้านหน่วย นำไปแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ในสัดส่วน 1 วอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคาแปลงสภาพ 2 บาท และหุ้นที่เกิดจากการแปลงสภาพกำลังจะเข้าซื้อขายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ผู้ที่แปลงวอร์แรนต์ครั้งสุดท้ายถือว่าเจ๊งกลางอากาศ เพราะยังไม่ทันที่หุ้นที่เกิดจากการแปลงสภาพจะเข้า ราคาหุ้นบนกระดานรูดมหาราช ต่ำกว่าราคาแปลงสภาพไปแล้วกว่า 30%
คนที่นำหุ้นมาถล่มขายต้องเป็นคนที่มีหุ้นต้นทุนต่ำจำนวนมากอยู่ในมือ ซึ่งน่าจะเป็นเจ้ามือหรือขาใหญ่ ซึ่งอาจเห็นว่าถึงเวลาเชือดรายย่อยแล้ว หลังจากลากหุ้นขึ้นมายาวนาน
ไม่ต้องคาดเดาว่าแนวโน้มหุ้น MORE จะเป็นอย่างไร เพราะการทุบฟลอร์ติด 2 วัน และทำให้แมลงเม่าตายเป็นเบือ คงจะทำให้นักลงทุนมิบังอาจเล่นกับหุนตัวนี้ จึงมีแนวโน้มที่จะกลับเป็นหุ้นที่ถูกปล่อยให้ตายซากตามเดิม เช่นเดียวกับตอนที่ยังใช้ชื่อ DNA
ใครอยู่เบี้องหลังทุบหุ้น MORE ถือว่ามหาโหดจริง ทุบโดยไม่มีความปรานี
แต่นี่คืออีกบทเรียนของหุ้นที่เปลี่ยนชื่อบ่อย เปลี่ยนเพื่อให้นักลงทุนลืมภาพลบในอดีต แต่เปลี่ยนชื่อแล้ว พฤติกรรมหุ้นไม่ได้เปลี่ยน
หุ้นตัวไหนเปลี่ยนชื่อบ่อย จงจำไว้อย่าริอ่านเข้าไปยุ่ง ไม่ว่าจะสร้างภาพให้ดูดีขนาดไหนก็ตาม
เพราะ MORE แต่งตัวใหม่ดูดีอยู่หลายปี แต่เพียงชั่ววันสองวัน ทำเอานักลงทุนจำนวนกว่า 6 พันคนแทบหมดเนื้อหมดตัว