การซื้อขายหุ้นบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด หรือ TTTBB และหน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF ระหว่างบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC อาจต้องปิดฉากลงเสียแล้ว
เพราะผู้ถือหน่วยลงทุน JASIF ไม่อนุมัติการแก้ไขรายละเอียดบางประการที่เกี่ยวข้องกับการเช่าและค่าเช่าเส้นใยแก้วนำแสง การยกเลิกสัญญาประกันรายได้ สัญญาให้บริการจัดหาผู้เช่าทรัพย์สิน การเพิ่มค่าล่วงหน้าที่ TTTBB ตกลงชำระให้กองทุนรวม การแก้ไขโครงการจัดการกองทุนรวมตามที่จำเป็น เพื่อให้สอดคล้องกับมติที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุน
และการแก้ไขโครงการจัดการกองทุนรวมเพื่อให้กองทุนรวมสามารถคืนเงินลงทุนในจำนวนไม่เกินค่าเช่าล่วงหน้าที่ TTTBB ตกลงชำระให้กองทุนรวม
ADVANC ออกคำชี้แจงผ่านตลาดหลักทรัพย์ทันทีหลังปิดการซื้อขายหุ้นช่วงเช้า ระบุถึงการประชุมผู้ถือหน่วยลงทุน JASIF เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะวาระที่ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่อนุมัติการแก้ไขสัญญาการเช่าและค่าเช่ารวมทั้งประเด็นอื่น
ADVANC ระบุว่า เงื่อนไขบังคับก่อนถือว่าไม่บรรลุโดยสมบูรณ์ การไม่อนุมัติการผ่อนผันหรือแก้ไขรายละเอียดในสัญญาเช่าถือเป็นประเด็นสำคัญต่อ TTTBB ในการดำเนินธุรกิจให้แข่งขันอย่างยั่งยืน และไม่สอดคล้องกับความแข็งแกร่งที่ดีขึ้นของผู้ซื้อรายใหม่
จึงมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น TTTBB และการเข้าซื้อหน่วยลงทุน JASIF ซึ่งต้องนำมาพิจารณาใหม่อย่างถี่ถ้วนถึงความเหมาะสมในการเข้าทำธุรกรรมในครั้งนี้
แม้ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ การล้มข้อตกลงซื้อขาย TTTBB และ JASIF แต่ ADVANC ส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะถอนตัวออก ปิดฉากการครอบงำกิจการทั้ง 2 แห่ง
คณะกรรมการ JAS มีมติเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา อนุมัตการขาย TTTBB และ JASIF ให้บริษัทลูกของ ADVANC โดยหน่วยลงทุน JASIF ขายหน่วยละ 8.50 บาท
ก่อนคณะกรรมการ JAS มีมติขาย JASIF มีข่าวลือมาเป็นระยะถึงการเจรจากับ ADVANC ซึ่งส่งบริษัทลูกเข้ามาซื้อ และทำให้ราคาหน่วยลงทุนของ JASIF รูดลง
ราคาหน่วยลงทุน JASIF เคลื่อนไหวอย่างราบเรียบระหว่าง 10 ถึง 11 บาทมายาวนาน แต่หลังจากมีข่าวลือ ราคาหน่วยลงทุนปรับตัวลง เพราะผู้ถือหน่วยลงทุนบางส่วนกลัวผลกระทบการที่ ADVANC เข้ามาซื้อ กลัวผลตอบแทนจากหน่วยลงทุนจะลดลง เพราะมีข่าวจะแก้สัญญาค่าเช่าและการเช่า
และเมื่อประกาศการซื้อขายอย่างเป็นทางการ โดยหน่วยลงทุน JASIF ตกลงซื้อขายกันที่หน่วยละ 8.50 บาท ทำให้ราคาหน่วยลงทุน JASIF ดิ่งลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในระหว่างชั่วโมงซื้อขายวันที่ 8 กันยายน โดยลงไปที่ 7.15 บาท
ผู้ถือหน่วยลงทุน JASIF จำนวนกว่า 4.6 หมื่นราย รู้สึกว่าการเข้ามาของ ADVANC ได้สร้างผลกระทบต่อผู้ถือหน่วย โดยเฉพาะราคาหน่วยที่ทรุดลงหนัก และกังวลว่าผลตอบแทนของหน่วยลงทุนจะลดลง จึงมีทัศนะที่เป็นลบต่อ ADVANC
JASIF ก่อตั้งและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2548 จำนวนหน่วยลงทุน 8,000 ล้านหน่วย พาร์หน่วยละ 10 บาท และจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอในทุกไตรมาส
ปี 2563 JASIF อัตราเงินปันผล 7.17% ปี 2564 อัตราเงินปันผล 9.61% และ ปี 2565 อัตราเงินปันผล 11.88%
ผู้ถือหน่วยลงทุน JASIF ส่วนใหญ่ถือหน่วยเพื่อลงทุนระยะยาว เพราะอัตราเงินปันผลเกินคุ้ม และไม่ได้เคร่งเครียดกับราคาหน่วยที่ขึ้นลงในกรอบแคบๆ มากนัก
แต่การประกาศขาย JASIF ให้ ADVANC สร้างแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงต่อผู้ถือหน่วยลงทุน แต่ละคนรับรู้ว่าผลประโยชน์ของตัวเองกำลังถูกกระทบ ทั้งระยะสั้นจากราคาหน่วยลงทุนที่ลดลง และระยะยาวจากเงินปันผลที่อาจลดลง
การไม่อนุมัติผ่อนผันการแก้ไขสัญญาค่าเช่าและการเช่า รวมทั้งวาระอื่นเป็นการแสดงถึงท่าทีแข็งขืน ต่อต้าน ADVANC ที่จะเข้ามาแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ที่อาจทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียประโยชน์
ADVANC มีแผนอยู่ในใจ มีเป้าหมายล่วงหน้าแล้วว่าเมื่อเข้ามาซื้อ JASIF จะต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรบ้างเพื่อให้การลงทุนคุ้มค่า แต่เมื่อแผนและเป้าหมายที่วางไว้เกิดอุปสรรค ถูกผู้ถือหน่วยลงทุนลุกฮือขึ้นต่อต้าน
การทุ่มเงินจำนวน 12,920 ล้านบาท เพื่อฮุบ JASIF อาจไม่คุ้ม จึงส่งสัญญาณถอยทัพ ล้มข้อตกลงซื้อขายกับ JAS
การซื้อขาย JASIF ขณะนี้ถือว่าวงแตกแล้ว ต่างคนต่างไป โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และ JAS ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เหมือนเดิม
แต่ราคาหน่วยลงทุน JASIF จะกลับขึ้นไปเหมือนเดิมหรือไม่ อัตราเงินปันผลจะงามเหมือนเดิมหรอไม่คงได้แต่จับตาดูกันเท่านั้น
การที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยรวมพลังแข็งขืนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ JASIF เป็นภาพสะท้อนของนักลงทุนรายย่อยที่พร้อมจะลุกฮือเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง และไม่ควรเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะกรณี JASIF เท่านั้น