บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO ผนึกกำลังพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เดินหน้าสร้างศูนย์โลจิสติกส์และกระจายสินค้า Cold Chain Logistics Center และ Warehouse รวมถึงขยายธุรกิจ Self Storage แห่งที่ 3 และ 4 คาดว่าจะเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight ให้บริษัทได้อย่างน้อย 200 ล้านบาทต่อปี ภายใน 3 ปีข้างหน้า บอร์ด LEO ไฟเขียวอนุมัติงบ 261.4 ล้านบาท ลุย JV กับ 3 พันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ต่อยอดธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้าแบบครบวงจร ฟาก “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” มั่นใจสามารถต่อยอดและนำพา LEO ให้ก้าวต่อไปอย่างก้าวกระโดด แข็งแกร่งและยั่งยืน
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติเรื่องการจัดตั้งบริษัทใหม่และการเข้าลงทุนในธุรกิจศูนย์ให้บริการโลจิสติกส์และกระจายสินค้า ศูนย์ให้บริการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ หรือ Cold Chain Logistics Center ธุรกิจห้องเก็บของให้เช่าหรือ Self Storage และ Warehouse รวมถึงจัดตั้งบริษัท Buying & Sourcing Agent เพื่อเป็นตัวแทนในกานส่งออกสินค้าไปประเทศจีน พร้อมประกาศเดินหน้าเปิดสาขา 3-4 ของ LEO Self Storage โดยอนุมัติงบทั้งสิ้น 261,439,594.60 บาท เพื่อนำไปขยายโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มรายได้ให้บริษัทฯ ต่อไป
โดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุนกับ ADVANTIS FREIGHT (PVT) LIMITED ซึ่งเป็นบริษัทระดับ Regional Player ในภูมิภาค Asia เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ และถือหุ้นร่วมกันในการดำเนินธุรกิจ Logistics & Distribution Center มีทุนจดทะเบียน จำนวน 55,000,000 บาท โดยบริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ลงทุน 26,950,000บาท คิดเป็น 49% และบริษัท ADVANTIS FREIGHT (PVT) LIMITED และผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ (ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน) ลงทุน 28,050,000บาท คิดเป็น 51% เพื่อเป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจในด้าน Logistics & Distribution Center ให้บริษัท
และได้อนุมัติให้บริษัทฯ เข้าลงทุนกับบริษัท เอสเค แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์ จำกัด (SK Asset Management Company Limited.) บริษัทในเครือ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA จัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่เพื่อดำเนินโครงการ Self-Storage แห่งที่ 3 เพื่อให้บริการพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่า และพัฒนาธุรกิจคลังสินค้าและให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร (Self-Storage, Warehouse & Integrated Logistics Services Project) ร่วมกัน โดยมีทุนจดทะเบียนในช่วงเริ่มต้นที่ 10,000,000 บาท สัดส่วนการลงทุน บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ลงทุน 5,000,000 บาท คิดเป็น 50% และบริษัทเอสเค แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์ จำกัด ลงทุน 5,000,000 บาท คิดเป็น 50% เพื่อใช้ในการพัฒนาและต่อยอดในการขยายธุรกิจ Self-Storage และ Warehouse ของบริษัทฯ
ที่ประชุมคณะกรรมการยังได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าลงทุนในบริษัทใหม่ร่วมกับบริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ในการดำเนินธุรกิจศูนย์ให้บริการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics Center) และให้บริการธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจร มีทุนจดทะเบียน 100,000,000 บาท และมีสัดส่วนการลงทุน บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ลงทุน 50,000,000 บาท คิดเป็น 50% และบริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) ลงทุน 50,000,000 บาท คิดเป็น 50% เพื่อเป็นการพัฒนาและต่อยอดในการขยายธุรกิจ Cold Chain Warehouse และ Integrated Logistics Services ของบริษัทฯ
และได้อนุมัติให้บริษัทฯ เข้าลงทุนในโครงการ LEO Self Storage แห่งที่ 4 เพื่อให้บริการพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่า (Self-Storage) มีมูลค่าการลงทุน 174,489,594.60 บาท ประกอบด้วยค่าเช่าทรัพย์สินตลอดอายุสัญญารวม 116.04 ล้านบาท โดยใช้งบลงทุนในการพัฒนาโครงการรวมทั้งสิ้นเป็นมูลค่า 58.44 ล้านบาท เพื่อเป็นการพัฒนาและต่อยอดในการขยายธุรกิจ Self-Storage ของบริษัทฯ
นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติให้บริษัทฯ จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจในการเป็นตัวแทนในการจัดหาสินค้าจากประเทศไทยส่งออกไปประเทศจีน (Buying & Sourcing Agent) และสนับสนุน E-commerce Platform ของทาง China Post และ Yunnan Tengjun มีทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท สัดส่วน คิดเป็น 100% โดยบริษัทเล็งเห็นว่ารายได้และกำไรจากธุรกิจในลักษณะของการ Sourcing & Supply Chain Management ไปยังประเทศจีนที่เป็นประเทศคู่ค้าหลักที่สำคัญของประเทศไทยจะมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“LEO มองเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอยู่เสมอ จึงมองหาพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อมาช่วยต่อยอดในการพัฒนาธุรกิจ Logistics & Distribution Center Warehouse และ Self Storage ที่เป็นธุรกิจ Non-Freight และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าธุรกิจการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้มีศักยภาพในการเติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถขยายฐานลูกค้าและพื้นที่ในการให้บริการได้รวดเร็วมากขึ้น ประกอบกับกลยุทธ์การบริหารที่ LEO มุ่งเน้นไปสู่การเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจร ซึ่งถึงพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่สนับสนุนและส่งเสริมกระบวนการที่เป็นเลิศ และสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์การการค้าและระบบโลจิสติกส์ของโลกในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถขยายธุรกิจ Non Freight ของบริษัทฯ ร่วมกับพันธมิตรของบริษัทให้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แข็งแกร่งและยั่งยืน ส่งผลให้บริษัทฯ มีความสามารถในการสร้างยอดขายและกำไรของบริษัทให้เติบโตและสามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ต่อเนื่องและยั่งยืน” นายเกตติวิทย์ กล่าว