WHA ลั่นผลประกอบการสูงเป็นประวัติการณ์ ตั้งเป้าปี 2565 รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติมีอัตราเติบโต 20% และกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) เกินร้อยละ 40 หลังการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ พร้อมตั้งเป้าที่จะขายสินทรัพย์ขนาด 208,000 ตร.ม.เข้ากองทรัสต์ WHART และ WHAIR มูลค่ารวม 5,400 ล้านบาท
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มั่นใจว่าปี 2565 จะมีผลประกอบการสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 12,100 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) เกิน 40% โดยในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้บริษัทฯ ยังตั้งเป้าที่จะขายสินทรัพย์ขนาด 208,000 ตร.ม. เข้ากองทรัสต์ WHART และ WHAIR มูลค่ารวม 5,400 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายการขายที่ดินในนิคมฯ ในปีนี้เป็น 1,650 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับนักลงทุนที่สนใจซื้อที่ดินราว 30-50 ราย คิดเป็นจำนวนที่ดินรวม 3,000-5,000 ไร่ ทำให้บริษัทมีการลงทุนทำนิคมฯ ใหม่เพิ่มขึ้นอีกจากปัจจุบัน WHA มีนิคมฯ รวม 12แห่ง แบ่งเป็นนิคมฯ ในไทย 11 แห่ง และนิคมฯ ที่เวียดนาม 1 แห่ง โดยเวียดนามมีแผนจะขยายนิคมฯ เพิ่มอีก 2 แห่งเพื่อรองนับนักลงทุนต่างชาติที่ย้ายฐานไปลงทุนที่เวียดนามมากขึ้น
“ในปี 2565 เรามองเห็นความก้าวหน้าอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือ การเปิดประเทศอีกครั้ง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ตามมาในยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เราได้เห็นการกลับมาของนักลงทุน เห็นได้จากข้อตกลงใหญ่ๆ และโครงการที่มีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ ดังนั้น เราจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายของปี 2565 ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี ทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ รวมถึงการปรับเป้ายอดขายที่ดินขึ้นเป็น 1,650 ไร่ ประการที่ 2 คือ การดำเนินการตามแผนการลงทุนระยะเวลา 5 ปี มูลค่า 50,000 บาท รวมถึงโรดแมปการทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2050 และก้าวสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีในอนาคต”
นางสาวจรีพรกล่าวว่า ในปีนี้กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์คาดว่าปี 2565 จะเป็นปีที่มีผลดำเนินงานโดดเด่น โดยมีโครงการที่เตรียมส่งมอบในครึ่งหลังของปีอีกหลายโครงการ รวมไปถึงการเปิดตัวอาคารคลังสินค้าและอาคารสำนักงานมูลค่าสูงใหม่ๆ โดยธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอยังคงมุ่งมั่นเน้นการจัดหาบริการที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้า ด้วยนวัตกรรมอัจฉริยะ รวมถึงความร่วมมือกับธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ
ในครึ่งแรกของปี 2565 กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ได้ส่งมอบพื้นที่รวม 194,300 ตร.ม. แบ่งออกเป็นโครงการคลังสินค้าใหม่และสัญญาเช่าพื้นที่ใหม่จำนวน 98,200 ตร.ม. และสัญญาเช่าระยะสั้นอีก 96,100 ตร.ม. ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดโควิด-19
ทำให้เกิดความต้องการเช่าคลังสินค้าระยะสั้นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจจัดส่งสินค้าแบบด่วน รวมไปถึงตัวแทนให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) สำหรับในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2565 จะมีการส่งมอบโครงการคลังสินค้าใหม่ๆ รวมพื้นที่กว่า 51,000 ตร.ม. นอกจากนี้ จะมีการเปิดตัวโครงการคลังสินค้าดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ใหม่อีก 2 โครงการ และพื้นที่ส่วนต่อขยายของโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม.21 รวมพื้นที่ทั้งสิ้นกว่า 420,000 ตร.ม.
กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามได้ถึง 513 ไร่ โดยในประเทศไทย บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มีความพร้อมที่จะต้อนรับนักลงทุนด้วยพื้นที่อุตสาหกรรมพร้อมขายกว่า 4,250 ไร่ ซึ่งบริษัทฯ ได้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 1,281 ไร่ ในขณะที่การก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายของนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4) ขนาด 573 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 และจะเริ่มก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ในเดือนตุลาคมนี้
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาบริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินขนาด 600 ไร่ กับบริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี โดยคาดว่าโรงงานผลิตรถไฟฟ้าแห่งใหม่นี้จะเริ่มดำเนินการในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 150,000 คันต่อปี การขายที่ดินครั้งนี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจกับนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเออย่างต่อเนื่อง และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในประเทศเวียดนาม หลังจากประสบความสำเร็จจากโครงการในจังหวัดเหงะอาน บริษัทฯ ยังคงยุทธศาสตร์ในการขยายนิคมอุตสาหกรรมไปยังจังหวัดหลักๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1-เหงะอาน เฟส 1 ขนาด 900 ไร่ ได้พัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวนพื้นที่ร้อยละ 76 ของเฟสที่ 1 ได้ปล่อยเช่าให้ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น นชิ้นส่วนยานยนต์ การแปรรูปอาหาร พลังงานแสงอาทิตย์ วัสดุก่อสร้าง และอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจำนวน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทฯ จึงเร่งก่อสร้างเฟส 2 ขนาด 2,215 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง
นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังวางแผนที่จะพัฒนาเขตนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 5,625 ไร่ รวมส่วนต่อขยายในจังหวัดถั่งหัว ซึ่งอยู่ในระหว่างการขออนุมัติโครงการ และบริษัทได้ลงนามบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 3 ของประเทศเวียดนาม ในจังหวัดกว๋างนาม บนพื้นที่ขนาด 2,500 ไร่ เพื่อพัฒนาเป็น ‘WHA Smart Eco Industrial Zone - Quang Nam’ รองรับอุตสาหกรรมไฮเทคสะอาด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องกล ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม การแพทย์ หรือโลจิสติกส์
กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ยังเดินหน้าขยายธุรกิจสาธารณูปโภคทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม พร้อมขยายพอร์ตธุรกิจด้านพลังงานด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปตามสัดส่วนการถือหุ้น จำนวน 62 เมกะวัตต์ ในขณะที่อีก 64 เมกะวัตต์อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังได้มีการลงนามโครงการพลังงานแสงอาทิตย์กับผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมใหม่อีก 15 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 34 เมกะวัตต์ด้วย
ในส่วนธุรกิจน้ำในไทย ช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูงและการบำบัดน้ำเสีย สูงขึ้นร้อยละ 10 เป็น 62.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่า เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 19 เป็น 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร และเมื่อเร็วๆ นี้ได้สร้างโรงผลิตน้ำเพื่ออุตสาหกรรมคุณภาพสูงและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 กำลังการผลิตรวม 3.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และมีการพัฒนาโรงงานผลิตน้ำปราศจากแร่ธาตุในนิคมอุตสาหกรรมเอเชียที่มีกำลังการผลิต 1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ดำเนินการใกล้เสร็จสิ้นแล้ว โดยได้เซ็นสัญญาซื้อขายน้ำกับลูกค้าที่ต้องใช้น้ำจำนวนมากด้วย
กลุ่มธุรกิจดิจิทัล เพิ่มศักยภาพธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่เป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสให้คนเข้าถึงบริการและโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น ซึ่งภายในสิ้นปี 2565 กลุ่มธุรกิจดิจิทัลจะวางไฟเบอร์ออปติกใต้ดิน (FTTx) และพร้อมให้บริการแล้วเสร็จทั้ง 11 นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอในประเทศไทย
ด้วยเป้าหมายที่จะก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยี ในปี 2567 ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้สร้างโรดแมปที่ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ส่งเสริมนวัตกรรมในสถานที่ทำงาน การปรับเปลี่ยนให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยมีแผนที่จะเปิดตัว META W เมตาเวิร์สอุตสาหกรรมรายแรกที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของบริษัทในยุคดิจิทัล