เมืองไทย แคปปิตอล พร้อมรับมือ เชื่อนโยบายคุมเพดานดอกเบี้ยไม่กระทบธุรกิจมั่นใจสามารถควบคุมระดับ NPL ปีนี้ไม่เกินระดับ 2.5% หลังประเมินครึ่งปีหลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซันธุรกิจฤดูการทำการเกษตร ขณะที่นโยบายปรับค่าแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้น หนุนศักยภาพการชำระหนี้ ขณะที่ปลดล็อกสถานการณ์โควิด-19 ช่วยกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังอยู่ในทิศทางที่ดี และเป็นไปตามแผนที่วางไว้ แม้แนวโน้มของดอกเบี้ยที่กำลังเป็นขาขึ้นว่าไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทฯ โดยในส่วนของดอกเบี้ยจำนำทะเบียนรถที่ทางการกำหนดควบคุมเพดานไว้ที่ระดับ 24% แต่ MTC คิดดอกเบี้ยในอัตราเพียง 16% ซึ่งต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้มาก ต่อไปในอนาคตหากต้นทุนทางการเงิน หรือภาระอื่นๆ เพิ่มขึ้น จะทำให้บริษัทฯ มีโอกาสในการปรับเพดานการคิดดอกเบี้ยขึ้นตามต้นทุนที่ขยับขึ้นไป
ส่วนประเด็นในเรื่องที่มีคู่แข่งมากขึ้นนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ MTC แต่อย่างใด เพราะปัจจุบันยังสามารถปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมาย 30% ทั้งจากลูกค้าเก่า และยังสามารถหาลูกค้าใหม่ได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งการแข่งขันและผู้เล่นรายใหม่มีเข้ามาเรื่อยๆ อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าจะมีใครเข้ามาทำธุรกิจนี้เพิ่มอีก ไม่น่าใช่ประเด็นที่ต้องกังวลแต่ประการใด
สำหรับกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เตรียมจะประกาศนโยบายการควบคุมเพดานอัตราดอกเบี้ยในธุรกิจลีสซิ่ง หรือเช่าซื้อนั้น ปัจจุบันบริษัทฯ มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 22-24% ซึ่งหากเทียบกับอัตราเพดานที่คาดว่าทางการกำหนดแล้ว มั่นใจว่าจะสามารถบริหารจัดการได้ และเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ แต่ประการใด
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกรอบที่คุมระดับ NPL ประมาณ 2-2.5% เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังเป็นฤดูกาลไฮซีซันของธุรกิจสินเชื่อ โดยเฉพาะฤดูกาลทำเกษตรทำให้ความต้องการสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่มีปัจจัยสนับสนุนในเรื่องนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 จะช่วยเพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระของลูกหนี้ รวมทั้งการปลดล็อกสถานการณ์โควิด-19 จะช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และอุปโภคบริโภคฟื้นตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก
"ในช่วงไตรมาส 3/2565 ภาพรวมของความต้องการสินเชื่อยังเติบโตได้ดี และมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง ขณะเดียวกันความสามารถในการผ่อนชำระลูกหนี้ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้มั่นใจว่าพอร์ตสินเชื่อรวมปีนี้จะเติบโตประมาณ 30% จากปีก่อน ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะเดียวกันยังคงเดินหน้าขยายสาขาเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงแรกของปีนี้มีจำนวนสาขาให้บริการทั้งหมด 6,475 สาขา รวมทั้งมีแผนขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย" นายชูชาติ กล่าว