ตลาดหลักทรัพย์ปล่อยหุ้นบริษัท เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KC กลับเข้ามาซื้อขายใหม่ พร้อมคำเตือนให้นักลงทุนศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด แต่อาจต้องออกคำเตือนอีกครั้งสำหรับหุ้นตัวนี้
เพราะนักลงทุนอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับขาดทุนสะสมของ KC โดยเข้าใจว่า ขาดทุนสะสมถูกล้างออกหมดแล้ว หลังจากบริษัทประกาศลดพาร์จาก 1 บาท เหลือพาร์ 70 สตางค์ ทั้งที่ยอดขาดทุนสะสมจำนวนประมาณ 900 ล้านบาทน่าจะยังอยู่
คณะกรรมการ KC มีมติเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เห็นชอบการลดพาร์จาก 1 บาทเหลือพาร์ 70 สตางค์ เพื่อนำมาลดขาดทุนสะสม จำนวน 902.09 ล้านบาท ตามงบการเงินสิ้นปี 2564
การลดพาร์ส่งผลให้ทุนลดลง 1,084.06 ล้านบาท ซึ่ง KC แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่าจะนำมาตัดขาดทุนสะสม ทำให้ยอดขาดทุนสะสมถูกล้างหมดเกลี้ยง และกลับมาเป็นกำไรสะสมทันที
แต่ตามประกาศวิชาชีพบัญชี การลดพาร์จะต้องนำส่วนพาร์ที่ลดไปตัดส่วนต่ำมูลค่าหุ้นเป็นอันดับแรก ถ้ามีส่วนที่เหลือจึงนำไปตัดขาดทุนสะสมได้ โดยส่วนต่ำมูลค่าหุ้นมีจำนวนทั้งสิ้น 2,346.66 ล้านบาท
การประกาศลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสม และแจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการ โดยไม่มีการทักท้วงเรื่องระเบียบปฏิบัติของสภาวิชาชีพบัญชี ทำให้นักลงทุนเข้าใจว่า KC จะสามารถจ่ายปันผลได้ เมื่อผลประกอบการมีกำไร
และไตรมาสแรกปีนี้ KC ก็แสดงผลกำไรสุทธิ 7.50 ล้านบาทเสียด้วย โดยแจ้งงบการเงินไตรมาสแรกผ่านตลาดหลักทรัพย์ ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2565 และถือเป็นข่าวในเชิงบวกที่กระตุ้นราคา ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์จะปล่อยให้หุ้น KC กลับเข้ามาซื้อขายในวันที่ 19 พฤษภาคม
KC ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP พักการซื้อขายตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2561 เนื่องจากไม่ส่งงบการเงินตามระยะเวลาที่กำหนด ราคาหุ้นปิดครั้งสุดท้ายที่ 18 สตางค์
การล่มสลายบริษัทจดทะเบียนแห่งนี้เกิดจากอดีตผู้บริหารบริษัททุจริต โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น หรือตั๋วบี/อี วงเงินหลายร้อยล้านบาท แต่นำเงินเข้าบัญชีตัวเองและพวกพ้อง นอกจากนั้น ยังทุจริตซื้อขายที่ดิน จนถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษ
ปัจจุบันมีการปรับโครงสร้างการบริหารและโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยนายสันติ ปิยะทัต เป็นกรรมการผู้จัดการ และผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง ในสัดส่วน 19.62% ของทุนจดทะเบียน
หุ้น KC กลับมาซื้อขายวันแรกด้วยความคึกคัก ราคาเปิดที่ 47 สตางค์ และถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 56 สตางค์ ต่ำสุดที่ 36 สตางค์ ก่อนปิดที่ 42 สตางค์ สูงกว่าราคาปิดครั้งสุดท้าย 24 สตางค์ มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 204.34 ล้านบาท
KC เคยถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 66 สตางค์ ระหว่างชั่วโมงซื้อขายวันที่ 26 พฤษภาคม และถูกทุบลงมาต่ำสุดที่ 31 สตางค์ ระหว่างชั่วโมงซื้อขายวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยวันที่ 27 มิถุนายนราคาปิดที่ 36 สตางค์
ราคาหุ้นที่คึกคักในช่วงแรกของการกลับมา อาจเป็นเพราะนักลงทุนถูกทำให้คิดว่ายอดขาดทุนสะสม 902 ล้านบาทถูกล้างออกหมด จากการลดพาร์ และยังมีข่าวดีผลประกอบการกลับมามีกำไรในไตรมาสแรกปีนี้อีกด้วย
ทั้งที่ก่อนหน้าบริษัทมีผลประกอบการขาดทุนติดต่อยาวนานหลายปี
แต่ราคาที่เริ่มทรุดลง อาจเป็นผลจากนักลงทุนบางรายเริ่มสอบถามถึงปัญหาการล้างขาดทุนสะสม เพราะตามหลักบัญชีที่สภาวิชาชีพบัญชีกำหนดไว้ จะต้องนำส่วนที่ลดพาร์มาตัดส่วนต่ำมูลค่าหุ้นเป็นอันดับแรก
นักลงทุนได้ส่งหนังสือขอคำชี้แจงปัญหาการล้างขาดทุนสะสมไปยัง KC โดยตรง และส่งหนังสือสอบถามขั้นตอนการลดทุนและการล้างขาดทุนสะสมของ KC ไปยังตลาดหลักทรัพย์ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน
จึงเตรียมทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบขั้นตอนการลดทุนของ KC
การเคลื่อนไหวของนักลงทุนที่ต้องการให้มีการตรวจสอบกระบวนการลดพาร์และล้างขาดทุนสะสม อาจทำให้ “ความแตก” จนเกิดข้อสงสัยตามมาว่า ยอดขาดทุนสะสมจำนวน 902 ล้านบาทของ KC ยังอยู่หรือถูกล้างออกไปหมดแล้ว
หุ้น KC ในภาคแรกทิ้งความย่อยยับให้นักลงทุนจำนวนมาก การกลับมาของ KC ในภาค 2 ไม่รู้ว่าจะซ้ำรอบในภาคแรกหรือไม่
เพราะการประกาศลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสม ดูเหมือนว่าจะกลายเป็น “ลูกเล่น” เพื่อกระตุ้นราคาหุ้นตัวนี้
การปล่อยให้หุ้น KC กลับเข้ามาซื้อขายใหม่ เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น เพราะยังมีปัญหา โดยส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่ำต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว และถูกติดเครื่องหมาย “C” หุ้นต้องซื้อขายด้วยเงินสด ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ต้องออกคำเตือนให้นักลงทุนศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
การรับหุ้นที่เคยตกอยู่ในฐานะหุ้นเน่า เข้าข่ายอาจถูกตะเพิดพ้นตลาดหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ควรทบทวนหลักเกณฑ์การพิจารณาใหม่ โดยกำหนดให้หุ้นเน่าที่จะกลับมาซื้อขายใหม่ต้องมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับการรับบริษัทจดทะเบียนใหม่
คุณสมบัติต้องสะอาดหมดจด มีทุนจดทะเบียนตามกำหนด ผลประกอบการมีกำไร ไม่ใช่ปล่อยให้หุ้นที่ยังมีปัญหากลับเข้ามาซื้อขาย ทำให้นักลงทุนต้องเผชิญความเสี่ยงกันเอง
และเชื่อว่ามีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ต้องเซ่นสังเวยการปล่อยให้ KC กลับมาแจ้งเกิดรอบ 2