KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier พันธมิตรทางธุรกิจ ไพรเวทแบงก์ระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ คาดการณ์เศรษฐกิจโลกในครึ่งหลังของปี 2565 ได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของสหรัฐฯ แต่ยังประเมินว่าเศรษฐกิจมีโอกาสชะลอตัวแบบซอฟต์แลนดิ้งได้ หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หรือเฟด สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ พร้อมเผยคำแนะนำการลงทุนในภาวะตลาดขาลงในช่วงครึ่งหลังของปี แนะนักลงทุนเน้นกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นคุณค่า หุ้นจีน พันธบัตรรัฐบาลในประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งชี้โอกาสลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกและหุ้นนอกตลาดสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวท่ามกลางภาวะผันผวน
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย (KBank Private Banking) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีตลาดลงทุนมีความกังวลต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะกดดันแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดให้เกิดขึ้นแบบรุนแรงและรวดเร็ว ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ปะทุขึ้น ทำให้ตลาดกังวลต่อปัญหาการขาดแคลนน้ำมันดิบและวัตถุดิบต่างๆ ส่งผลให้ราคาน้ำมันขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลกที่ทรงตัวในระดับสูงอยู่แล้ว จึงทำให้ในช่วงกลางเดือนมีนาคม เฟดมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่ปี 2561 ที่ 0.25% ซึ่งเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะล่าสุดเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมปรับขึ้นเกินกว่าที่ตลาดคาด โดยทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 40 ปี ที่ 8.6% เมื่อเทียบปีต่อปี จากราคาพลังงานที่กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากจีนผ่อนคลายล็อกดาวน์ ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งทุกๆ เหตุการณ์สำคัญเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง จากการที่นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง และเข้าถือเงินสดมากขึ้น
ด้าน น.ส.ศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดการลงทุนในช่วงนี้ผันผวนกว่าปกติ ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ต่างๆ อยู่ในทิศทางขาลงจากข่าวร้าย ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังคงปรับเพิ่มขึ้น และยังไม่เข้าสู่แนวโน้มขาลงตามเป้าหมายของเฟด จากราคาพลังงานและบริการที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้นโยบายการเงินมีทิศทางตึงตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยจากการประชุมครั้งล่าสุดในวันที่ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา เฟดได้มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในครั้งเดียว เป็นไปตามตลาดคาด ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันของเฟดอยู่ที่ 1.5-1.75% พร้อมทั้งส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่เร่งขึ้น โดยจะขึ้นดอกเบี้ยอีกทั้งหมด 1.75% ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 3.4% มากกว่าเดิมที่ประเมินไว้ในการประชุมเดือนมีนาคมที่ 1.9% ทั้งนี้ ด้านภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ตลาดแรงงานยังคงตึงตัว โดยอัตราการว่างงานยังใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แม้จะเริ่มมีสัญญาณลบจากตลาดบ้านบ้าง หลังจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการซื้อทำให้ยอดขายบ้านลดลง
ด้านจีนที่ค่อยๆ กลับมาเปิดประเทศอีกครั้งในแบบระมัดระวัง หลังยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงแสดงให้เห็นว่ามาตรการการล็อกดาวน์ได้ผล อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนผู้ติดเชื้อในจีนจะลดลง แต่แนวโน้มผู้ติดเชื้อที่อื่นๆ ในเอเชีย อย่างฮ่องกงและเกาหลีใต้กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้จีนต้องกลับมาใช้มาตรการ Zero COVID จนถึงไตรมาส 3 และถ้าหากจีนกลับมาล็อกดาวน์จะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ทำให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากการเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทานเช่นกัน สำหรับความเป็นไปได้ต่อไปของสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับมหภาคทั่วโลก แบ่งเป็น 3 กรณี คือ 1) สงครามยืดเยื้อ กระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ความน่าจะเป็นสูง ส่งผลให้ GDP โลก ลดลง 1% 2) สงครามทวีความรุนแรงและรวดเร็ว เกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ความน่าจะเป็นต่ำ ส่งผลให้ GDP โลก ลดลง 2% 3) ความขัดแย้งคลี่คลาย ความน่าจะเป็นต่ำกว่า ส่งผลให้ GDP โลก ลดลง 0.5%
"ในช่วง 3 เดือนข้างหน้านี้จะเป็นช่วงที่มีความสำคัญและต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงของเฟดที่ถือเป็นยาแรงในครั้งนี้ สามารถสกัดเงินเฟ้อได้อยู่จนทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดกลับเข้าสู่ระดับปกติได้หรือไม่ ถ้าได้ก็นับว่าเราเริ่มเห็นแสงสว่างได้ในช่วงปลายปีนี้ แต่ถ้าไม่ผลที่ตามมา จะยิ่งทำให้สถานการณ์ในอนาคตดูแน่ลงและคาดเดาได้ยากยิ่งขึ้น"
นายตรีพล ภูมิวสนะ Senior Managing Director, Private Banking Business Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องนี้เข้าใกล้เกณฑ์หดตัว ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย อาจนำไปสู่ตลาดหมีหรือตลาดขาลง ในสภาวะเศรษฐกิจและตลาดเช่นนี้ KBank Private Banking และ Lombard Odier ยังคงเน้นย้ำกลยุทธ์การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง โดยแนะนำให้ปรับกลยุทธ์และสัดส่วนการลงทุนในประเภทสินทรัพย์สำหรับครึ่งปีหลัง 2565 ดังนี้
ประเภทสินทรัพย์ Cash (เงินสด) ให้น้ำหนัก 2%
ลดสัดส่วนการถือครองเงินสด เพื่อไปลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น สินทรัพย์ Fixed Income (ตราสารหนี้) ให้น้ำหนัก 36% เพิ่มน้ำหนักการลงทุน เนื่องอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากพันธบัตรรัฐบาล น่าสนใจมากขึ้น สินทรัพย์ Equities (หุ้น) ให้น้ำหนัก 45% คงน้ำหนักการลงทุนในหุ้น โดยถ้าหากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนคลี่คลาย และเศรษฐกิจโลกรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจถดถอย จะหนุนการลงทุนในหุ้น สินทรัพย์ Valuation อยู่ในเกณฑ์น่าสนใจมากขึ้นหลังตลาดหุ้นปรับลงแรงจาก Sentiment เชิงลบ ,Alternative (สินทรัพย์ทางเลือก) ให้น้ำหนัก 17% เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในยุโรป คาดว่าสินทรัพย์กลุ่มคุณค่า (Value) จะฟื้นตัวได้ดี และลดน้ำหนักการลงทุนในทองคำ แต่ให้น้ำหนักลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อกระจายความเสี่ยง
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในตอนท้ายว่า ธนาคารยังคงแนะนำกระจายการลงทุนในหลายๆ สินทรัพย์ผ่านกองทุนผสมเพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลง โดยกองทุนผสมอย่าง K-ALLROAD Series ที่ได้เปิดตัวไปตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีขนาดของกองทุนรวมกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า ด้วยสภาพตลาดการลงทุนในปัจจุบัน ธนาคารยังแนะนำให้ลูกค้ากระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น กองทุนหุ้นนอกตลาด (Private Equity Fund) ซึ่งกองทุนที่ธนาคารแนะนำสามารถสร้างผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ดีให้กับพอร์ตลูกค้าได้สูงถึง 61.4% และ 12.8%
นอกจากนี้ ตลอดครึ่งปีหลัง 2565 ธนาคารยังมีแผนที่จะแนะนำผลิตภัณฑ์ทางเลือกการลงทุนอื่น เช่น Sustainable Global Balanced (กองทุนผสมที่เน้นลงทุนแบบยั่งยืน) China Sustainable Equity (หุ้นจีนที่เป็น ธีมหุ้นยั่งยืน) Global Private Debt (ตราสารหนี้นอกตลาดทั่วโลก) Global Private Equity (กองทุนหุ้นนอกตลาดทั่วโลก) Hybrid Global Private Asset (สินทรัพย์นอกตลาด) Global and Local Private Real Estate (อสังหาริมทรัพย์นอกตลาด) Quantitative Hedged Fund Strategy (กองทุน Hedge Fund ที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนด้วยกระบวนการคณิตศาสตร์และสถิติจากข้อมูลเชิงปริมาณ) และ Exotic Structured Note (หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงแบบต่างๆ) เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้พอร์ตการลงทุนของลูกค้าได้ในปี 2565 นี้
"จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันค่อนข้างจะสร้างความยากลำบากในการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุน โดยการเลือกกลยุทธ์ในการปรับพอร์ตนั้น หลักๆ แล้วจะขึ้นอยู่กับการความเสี่ยงที่รับได้ขอวผู้ลงทุน และเรายังแนะนำให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง ขณะที่ความคืบหน้าของ Private Debt นั้น ขณะนี้ได้หารือกับผู้กำกับดูแลเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถออกผลิตภัณฑ์ได้ในไตรมาส 3 นี้"