EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุสถานการณ์ตลาดอุตฯ ก่อสร้างปี 65 มีการเติบโตขยายตัว 6% มูลค่าสูงถึง 853,000 ล้านบาท แรงส่งจากมูลค่างานภาครัฐ สร้างรถไฟฟ้า สนามบิน ทางด่วน ส่วนงานภาคเอกชนเติบโตเล็กน้อย 1% ตลาดอาคารสำนักงานเริ่มสู่ภาวะชะลอตัว ขณะที่ผู้ประกอบการก่อสร้างเผชิญความท้าทายจากต้นทุน จับตาปูนซีเมนต์ราคาปรับขึ้น 8% แนะทางออกปรับกลยุทธ์รับมือต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (Economic Intelligence Center : EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ได้รายงานถึงสถานการณ์มูลค่าอุตสาหกรรมงานก่อสร้างในปี 2565 ว่า ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวที่ 4%YOYแตะระดับ 1.42 ล้านล้านบาท
โดยแยกเป็นกลุ่ม มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐ ยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ 6%YOY แตะระดับ 853,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากทั้งความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ที่มีการก่อสร้างต่อเนื่องจากในอดีต เช่น รถไฟฟ้าสีส้มตะวันออก สีชมพู สีเหลือง รถไฟทางคู่ เฟส 1 มอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รันเวย์ที่ 3 ทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง สัญญา 1 และ 3 รวมถึงการเริ่มก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟฟ้าสีม่วงใต้ สีส้มตะวันตก รถไฟทางคู่สายเหนือ และสายอีสาน รวมถึงมอเตอร์เวย์/ทางด่วนต่างๆ
มูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยที่ 1%YOY มาอยู่ที่ 567,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของมูลค่าการก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบตามการฟื้นตัวของหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ ในส่วนของมูลค่าการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในกลุ่มอาคารสำนักงานมีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อย ขณะที่พื้นที่ค้าปลีกมีแนวโน้มขยายตัวไปตามการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่ยังมีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ในปี 65 ผู้ประกอบการก่อสร้างเผชิญความท้าทายจากต้นทุนก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น ทั้งต้นทุนแรงงาน และวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็ก และปูนซีเมนต์
ผู้ประกอบการก่อสร้างกลุ่มต่างๆ ได้รับผลกระทบในระดับที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลางจะเป็นผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างภาครัฐที่ทำสัญญาแบบปรับราคาได้ ซึ่งจะได้รับเงินชดเชยจากการคำนวณค่า K1 และผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างภาคเอกชน ที่ทำสัญญาให้ผู้ว่าจ้างเป็นผู้จัดหาวัสดุก่อสร้าง ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูงจะเป็นผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างภาครัฐ ที่ไม่ได้ทำสัญญาแบบปรับราคาได้ ซึ่งจะไม่ได้รับเงินชดเชยจากการคำนวณค่า K และผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างภาคเอกชนที่ทำสัญญาเป็นผู้จัดหาวัสดุก่อสร้างเอง
สำหรับปริมาณการใช้วัสดุก่อสร้างในปี 65 มีแนวโน้มเติบโต ท่ามกลางความท้าทายด้านราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นไปตามต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวพุ่งสูงขึ้น ได้แก่
1.เหล็ก : ปริมาณการบริโภคเหล็กทรงยาว และทรงแบนในปี 65 มีแนวโน้มอยู่ที่ 6.6 ล้านตัน (+3%YOY) และ 12.9 ล้านตัน (+5%YOY) ตามลำดับ โดยมีปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของภาคก่อสร้าง การผลิตรถยนต์ และการผลิตสินค้าอื่นๆ ที่มีการใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบ ขณะที่ราคาเหล็กทรงยาว และทรงแบนไทยปี 65 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 30.2 บาท/กิโลกรัม (+19%YOY) และ 36.3 บาท/กิโลกรัม (+15%YOY) ตามลำดับ
2.ปูนซีเมนต์ : ปริมาณการบริโภคปูนซีเมนต์ในประเทศในปี 65 มีแนวโน้มเติบโต 2%YOY มาอยู่ในระดับ 35.1 ล้านตัน โดยมีปัจจัยหนุนจากการขยายตัวจากการก่อสร้างภาครัฐ ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย รวมทั้งปริมาณการส่งออกปูนซีเมนต์และปูนเม็ดฟื้นตัว 5%YOY แตะระดับ 12.4 ล้านตัน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก สำหรับราคาปูนซีเมนต์ในปี 65 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น 8%YOY มาอยู่ที่ 1,753 บาท/ตัน
3.กระเบื้อง : ปริมาณการบริโภคกระเบื้องปูพื้นบุผนังในไทยในปี 65 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1%YOY มาอยู่ที่ 227 ล้านตารางเมตร โดยได้อานิสงส์ทั้งจากการก่อสร้างภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย ตามการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัย และอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ รวมทั้งงานซ่อมแซมอาคาร และที่อยู่อาศัย ขณะที่การนำเข้ากระเบื้องอาจชะลอตัวจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง และค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นตามราคาพลังงาน สะท้อนโอกาสของผู้ผลิตกระเบื้องในประเทศที่จะมีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
4.สีทาอาคาร : มูลค่าตลาดสีทาอาคารในปี 65 มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย 2%YOY อยู่ที่ระดับ 19,000 ล้านบาท โดยได้อานิสงส์ทั้งจากการก่อสร้างภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย รวมทั้งงานซ่อมแซมอาคาร และที่อยู่อาศัย โดยราคาพลังงานที่ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นทำให้ผู้ผลิตยังต้องเผชิญกับราคาวัตถุดิบจำพวกสารสีมีราคาสูงขึ้น ส่งผลกระทบให้อัตรากำไรของผู้ประกอบการมีแนวโน้มลดลง
อย่างไรก็ตาม ทาง EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ แนะว่า ผู้ประกอบการก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างอาจปรับกลยุทธ์รับมือต้นทุนที่ปรับตัวพุ่งสูงขึ้น ได้แก่
ผู้ประกอบการก่อสร้างทำสัญญาสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างล่วงหน้าสอดคล้องกับความต้องการใช้ หลีกเลี่ยงการเข้าประมูลแบบแข่งขันด้านราคา เพื่อลดโอกาสในการขาดทุนในภาวะที่ต้นทุนก่อสร้างพุ่งสูงขึ้น รวมถึงนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการก่อสร้าง และลดต้นทุน ทั้งต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และแรงงาน
ผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างบริหารจัดการการผลิต และสต๊อกอย่างสอดคล้องกับปริมาณคำสั่งซื้อ
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง จะเผชิญกับความท้าทายในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงต้องปรับกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อย CO2 ประกอบกัน ทั้งผู้ประกอบการเหล็กอาจเร่งนำเทคโนโลยีการหลอมเหล็กด้วยเตาอาร์กไฟฟ้ามาใช้ รวมถึงผู้ประกอบการปูนซีเมนต์อาจใช้พลังงานทดแทนอื่นๆ เพื่อลดสัดส่วนการใช้พลังงานจากถ่านหิน และออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก โดยพัฒนาตามมาตรการทดแทนปูนเม็ดเพื่อลดการปล่อย CO2