นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) เปิดเผยว่า ในปีบัญชี 64/65 (1 เม.ย.64-31 มี.ค.65) บริษัทมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 11,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,171 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 9,569 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22.7% อัตรากำไรขั้นต้น 31.7% สูงกว่าเป้าหมาย และมีกำไรสุทธิ 1,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 381 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,221 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.2%
แม้ว่าปีบัญชีที่ผ่านมาบริษัทได้เผชิญกับความท้าทายจากความยืดเยื้อของการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกทั้งปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ราคาพลังงานและโภคภัณฑ์สูงขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทดำเนินงานตามแผนธุรกิจอย่างรัดกุม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดต่อองค์กร
การดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้
- ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มีรายได้จากการขาย 3,119 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 18.8% จากปีก่อน มาจากยอดขายตลาดในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่ปรับตัวดีมาก โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์หลังการเร่งฉีดวัคซีน และมาตรการสนับสนุนของรัฐบาล สำหรับยอดขายในประเทศยังเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง
- ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas และ TJM มีรายได้จากการขาย 5,835 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.5% จากปีก่อน ยอดขายปรับตัวดีขึ้นจากคำสั่งซื้อของกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเติบโตตามอุปสงค์ของผู้บริโภคที่ต้องการใช้ยานยนต์ส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระบะซึ่งใช้งานอเนกประสงค์ อย่างไรก็ตาม ยังคงได้รับผลกระทบจากความล่าช้าจากกระบวนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
- สำหรับธุรกิจในออสเตรเลียยอดขายชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้จะเริ่มเห็นการชะลอตัวจากไตรมาสที่ 2 ปีบัญชี 64/65 เนื่องจากผลกระทบของมาตรการปิดเมืองในบางพื้นที่ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และความล่าช้าจากการส่งมอบรถยนต์ใหม่เนื่องจากชิปขาดแคลน (Semiconductor Shortage)
- ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มีรายได้จากการขาย 2,785 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 12.7% จากปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคในยุควิถีใหม่ (New Normal) ที่นิยมสั่งอาหารแบบจัดส่งถึงที่ (Delivery) หรือซื้ออาหารกลับไปรับประทานที่บ้านมากขึ้น
บริษัทมีต้นทุนขายสินค้าเพิ่มขึ้น 21.7% จากปีก่อน ทั้งนี้ เป็นผลจากราคาวัตถุดิบกลุ่มปิโตรเคมีบางประเภทปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมแผนรับมือโดยสั่งซื้อวัตถุดิบกลุ่มปิโตรเคมีล่วงหน้าจำนวนมากกว่าปกติก่อนการปรับขึ้นราคาวัตถุดิบ อีกทั้งได้จัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตในหลายประเทศเพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยจากราคาวัตถุดิบมีราคาเหมาะสม สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 21.4% มาจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาดจากโควิด-19 เช่น การจัดทำมาตรการ Bubble and Seal การจัดหาวัคซีนทางเลือกป้องกันโควิด-19 (วัคซีนซิโนฟาร์ม) ให้แก่พนักงาน และการช่วยเหลือสังคมเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ค่าขนส่งที่สูงขึ้น รวมถึงการขยายธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย
นอกจากนี้ บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 226 ล้านบาท จากการฟื้นตัวตามกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์