แม้ยังไม่ย่างเข้าสู่เทศกาลเซลล์อินเมย์ หรือการขายในเดือนพฤษภาคม ซึ่งหุ้นมักจะลง แต่สัปดาห์นี้หุ้นร่วงมา 3 วันติดแล้ว และมีโอกาสหลุดแนวรับสำคัญระดับ 1,650 จุดได้
ระหว่างการซื้อขายวันพุธที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นลงไปต่ำสุดที่ 1,655.25 จุด ก่อนจะขยับขึ้นมาปิดที่ 1,661.89 จุด โดยถือว่าแนวรับระดับ 1,650 ยังแข็งแกร่งอยู่
แต่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์โบรกเกอร์หลายสำนักออกมาส่งสัญญาณเตือนนักลงทุนให้ระวังความเสี่ยง และแนะนำให้ขายหุ้นทำกำไร เพราะ ดัชนีรอบนี้อาจปรับฐานลงไปลึกแถวระดับ 1,600 จุด
การที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์มองตลาดหุ้นในทิศทางที่เลวร้าย เพราะมีแต่ข่าวร้ายที่กระหน่ำใส่ตลาดหุ้น และไม่มีข่าวดีเข้ามาถ่วงดุลแต่อย่างใด
นักลงทุนทั่วโลกกำลังกังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยคาดว่า จะปรับขึ้นในอัตรา 0.5-0.75% แต่ไม่ว่าขึ้นในอัตราไหนจะส่งผลกระทบอยู่ดี
นอกจากนั้น สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ไม่มีแนวโน้มที่จะยุติ ซึ่งหากยืดเยื้อต่อ เศรษฐกิจทั่วโลกจะถูกกระทบหนักขึ้น และปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังน่ากังวลอยู่
สัปดาห์หน้าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีการประชุม และนักลงทุนทั้งโลกกำลังจับตาว่า จะขึ้นดอกเบี้ยในอัตราเท่าไหร่ แต่ถ้าขยับรวดเดียว 0.75% จะฉุดให้หุ้นทัวโลกเกิดความผันผวนอีกรอบ
สำหรับข่าวดีที่รอคอยแทบมองไม่เห็น การประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาสแรกไม่ช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นให้กลับมาคึกคัก นักลงทุนบางส่วนจึงชะลอการซื้อขาย
เพราะประเมินแล้วว่า หุ้นจะทรงๆ ทรุดๆ ไปอีกระยะ และโอกาสการหากำไรในตลาดหุ้นคงเป็นไปได้ยาก จึงไม่คุ้มกับความเสี่ยง
เป้าหมายดัชนีหุ้นในรอบนี้ที่ระดับ 1,700 จุด ในระยะสั้นคงไม่มีโอกาสได้เห็น แต่อาจเห็นหุ้นหลุดแนวรับระดับ 1,650 จุดได้ และถ้าหลุดอาจถอยหลังไปแตะระดับ 1,600 จุดได้ ซึ่งเป็นการลงที่ลึกมาก
เมื่อประมาณวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ดัชนีหุ้นเคยลงลึกไปยืนที่ระดับ 1,617 จุดมาแล้ว ก่อนจะดีดขึ้นมาทะลุ 1,700 จุด แต่ไปต่อไม่ไหว และปรับฐานลงมา โดยไม่อาจคาดหมายว่ารอบนี้จะลงทะลุจุดต่ำสุดเดิมหรือไม่
แต่โบรกเกอร์หลายสำนักส่งสัญญาณถึงนักลงทุนแล้ว เตือนเปลี่ยนหุ้นเป็นเงินสด หุ้นขึ้นให้ขาย และอย่าเข้าไปช้อนหุ้น แต่ควรรอซื้อเมื่อเกิดการปรับฐานใหญ่
นักลงทุนต่างชาติแม้ยังไม่ได้ขนเงินกลับ ยังทำหน้าที่เป็นกองหนุนเข้ามาช้อนซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่กังวลกันว่า ในครึ่งปีหลังเงินทุนจะไม่ไหลเข้า เพราะเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ย เงินทุนจะเคลื่อนย้ายไปลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ มากขึ้น
ส่วนตลาดหุ้นไทยจะถูกลดความน่าสนใจ เพราะแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนตัว ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จึงอาจชะลอการลงทุนลง หลังจากต้นปีซื้อหุ้นสุทธิสะสม 120,470 ล้านบาท
ช่วงนี้หากำไรจากตลาดหุ้นลำบาก เพราะหุ้นส่วนใหญ่แกว่งตัวลงในกรอบแคบๆ การเก็งกำไรระยะสั้นจึงมีความเสี่ยง โบรกเกอร์จึงแนะนำให้ถือเงินสดมากกว่าถือหุ้น
และรอการปรับฐานลงลึกๆ จึงทยอยเข้ามาช้อนเก็บ ซึ่งทำให้ซื้อหุ้นได้ในราคาต้นทุนต่ำๆ
1,600 จุด อาจลงไปถึงก็ได้ แต่เชื่อกันว่า รอบนี้คงหลุดจากแนวรับ 1,650 จุด
