หุ้นไทยปิดตลาดร่วง -15.79 จุด โบรกฯ ชี้เป็นไปตามตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวลดลง บวกแรงเทขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบร่วงกว่า 6% ลงมาหลุด 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล พร้อมประเมินกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้กรอบแนวต้านที่ 1,650 จุด และแนวรับ 1,630 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 15 มีนาคม 2564 ปรับตัวลดลง -15.79 จุด หรือ -0.95% โดยปิดตลาดที่ 1,644.36 จุด มูลค่าการซื้อขาย 82,506.52 ล้านบาท โดยภาพรวมการลงทุนในวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,663.32 จุด และในทางกลับกันปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,639.90 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้น จำนวน 450 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง จำนวน 465 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลง จำนวน 1,481 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า 2,627.04 ล้านบาท ในทางกลับกัน พบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -1,414.35 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -954.98 ล้านบาท และบัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -257.71 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,988.26 ล้านบาท ปิดที่ 158.50 บาท ลดลง 3.50 บาท
2.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 3,675.21 ล้านบาท ปิดที่ 145.50 บาท ลดลง 2.50 บาท
3.PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,324.24 ล้านบาท ปิดที่ 38.75 บาท ลดลง 0.75 บาท
4.BDMS มูลค่าการซื้อขาย 2,044.34 ล้านบาท ปิดที่ 26.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
5.BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,810.54 ล้านบาท ปิดที่ 10.80 บาท ลดลง 0.40 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.STA ปิดที่ 27.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 3.85%
2.SCC ปิดที่ 381.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 0.26%
3.TISCO ปิดที่ 98.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือ 0.77%
4.BEC ปิดที่ 17.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 2.98%
5.BDMS ปิดที่ 26.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.96%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.KBANK ปิดที่158.50 บาท ลดลง 3.50 บาท หรือ 2.16%
2.ADVANC ปิดที่ 232.00 บาท ลดลง 3.00 บาท หรือ 1.28%
3.TOP ปิดที่ 51.25 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 3.76%
4.EGCO (XD) ปิดที่ 168.00 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 1.18%
5.BH ปิดที่ 166.00 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 0.90%
ส่วนดัชนี SET100 ปิดที่ 2,262.81 จุด ลดลง -21.32 จุด หรือ -0.93% ด้านดัชนี SET50 ปิดที่ 998.72 จุด ลดลง -9.64 จุด หรือ -0.96% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 606.92 จุด ลดลง -10.30 จุด หรือ -1.67%
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังคงปรับตัวผันผวนทั้งในภาคเช้าและภาคบ่าย ซึ่งเป็นไปตามตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวลดลง โดยปัจจัยหลักที่เข้ามากดดันตลาดหุ้นไทยในวันนี้มาจากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงกว่า 6% หลุด 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ขณะเดียวกัน ยังมีความกังวลสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศจีน หลังจากกลับมาล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการกลับมาระบาดของไวรัสโควิดในเมืองเซินเจิ้น และยังล็อกดาวน์เพิ่มอีก 2-3 เมือง ทำให้ตลาดกังวลว่าอาจผลกระทบภาพรวมเศรษฐกิจในเอเชีย และการบริโภคอาจชะลอตัวได้ ซึ่งมีผลต่อดีมานด์ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และกิจกรรมการค้าขายทั้งการนำเข้าและส่งออก รวมทั้งค่าระวางเรือ ซึ่งในวันนี้จะเห็นว่ากลุ่มเดินเรือมีแรงเทขายออกมามาก และยังขายกลุ่มธนาคารพาณิชย์ด้วยเช่นกัน
ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยพรุ่งนี้คาดว่าแกว่งตัวไซด์เวย์ ติดตามการประชุมประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คืนวันนี้และพรุ่งนี้ ว่าจะกลับมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีตามที่ตลาดคาดไว้หรือไม่ และแนวโน้มการปรับในครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร รวมถึงท่าทีการลดขนาดงบดุล นอกจากนั้น ยังต้องติตดามสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในจีน เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย โดยประเมินแนวต้านที่ 1,650 จุด และแนวรับ 1,630 จุด