ปูนซิเมนต์ไทย ยันต้นทุนพลังงานพุ่ง กระทบกำไร ส่วนยอดขายมีผลไม่มาก พร้อมปรับราคาสินค้าได้ตามกลไกตลาด เผยจะให้ผู้บริโภคกระทบน้อยสุด ยันงบลงทุนปีนี้ที่ 8 หมื่นล้านบาท เดินหน้าโครงการเวียดนามต่อเนื่อง ส่วนการลงทุนต้องทบทวนให้รอบคอบ
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า ผลกระทบจากภาวะสงครามในยูเครน รวมถึงการระบาดของโควิด-19 อีกทั้งภาวะเงินเฟ้อ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจเร่งตัวขึ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น และเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะราคาน้ำมันพุ่งไปที่ 130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตอย่างมากในส่วนของธุรกิจที่ใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ เพราะ SCC มีธุรกิจหลักอย่างธุรกิจเคมีภัณฑ์ได้รับผลกระทบสูง อย่างนาฟตาที่มีมากถึง 70-80% ขณะธุรกิจซีเมนต์มีต้นทุนพลังงาน 15-20% ขณะที่ธุรกิจแพกเกจจิ้งจะได้รับผลเพียง 5% ของต้นทุนรวมเท่านั้น ซึ่งจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น SCC สามารถปรับราคาขายได้เพราะเป็นไปตามกลไกตลาด และย้ำว่าจะให้ผู้บริโภครับผลกระทบน้อยที่สุด
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งในยูเครนไม่กระทบต่อยอดขายนักเพราะ SCC มียอดขายในยูเครนและรัสเซียเพียง 1-2% ของยอดขายรวมเท่านั้น แต่ในส่วนของกำไรนั้นยอมรับกระทบแน่นอน
"ยอมรับว่ากระทบ แต่ยังประเมินยาก เพราะไม่รู้ว่าความขัดแย้งในยูเครนจะยืดเยื้อหรือรุนแรงเพียงใด ซึ่งภาวการณ์เช่นนี้เราต้องปรับตัวในทุกด้าน เพราะต้นทุนสินค้า พลังงาน ซึ่งราคาสินค้าที่ต้องปรับไปตามกลไกตลาด บริหารจัดการต้นทุนการเงิน รวมถึงบริหารจัดการซัปพลายเชนให้ดี"
สำหรับปีนี้ SCC ยังคงยืนยันเป้าการเติบโตของรายได้ที่ 10% และยอมรับว่ามีผลต่อตัวเลขกำไร แต่ขณะนี้ยังประเมินไม่ได้ว่ามากน้อยเพียงใด พร้อมกับคงตัวเลขงบลงทุนไว้ที่ 80,000 ล้านบาท โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งจะใช้ลงทุนในโครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP 1) ในเวียดนาม เพราะเดินหน้าไปแล้วประมาณ 90% ส่วนที่เหลือเตรียมไว้สำหรับการลงทุนใหม่ๆ รวมถึงการซื้อกิจการ แต่อาจต้องทบทวนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหากมีผลกระทบต่อการใช้เงินระยะยาวต้องพิจารณาให้รอบคอบอย่างดี