เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 13.00 น. ผู้นำชุมชนรอบเหมืองทองอัครา นำโดยนายกองค์การบริหารส่วนตำบล กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน จาก 3 ตำบลจาก 3 จังหวัด ซึ่งเป็นเขตที่ตั้งของเหมือง ได้แก่ ต.เขาเจ็ดลูก จ.พิจิตร ต.ท้ายดง จ.เพชรบูรณ์ และ ต.วังโพรง จ.พิษณุโลก เดินทางมายังกรมพื้นฐานอุตสาหกรรมและการเหมืองแร่ (กพร.) เพื่อเข้าพบนายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ อธิบดี กพร. เพื่อกล่าวขอบคุณที่อนุญาตต่ออายุประทานบัตรและใบประกอบโลหกรรมให้แก่บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการเหมืองทองอัครา ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการกลับมาของเหมืองทอง โดยยืนยันว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างเฝ้ารอวันที่เศรษฐกิจชุมชนจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง
เมื่อถามถึงความรู้สึกชาวบ้านหลังจากทราบข่าวการกลับมาของเหมือง นายกฤษณะ ก้อนแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเขาเจ็ดลูก ตอบผู้สื่อข่าวว่า “ชุมชนให้การตอบรับดี ชาวบ้านอยากให้เหมืองกลับมาเปิดดำเนินการ เพราะพนักงานของเหมือง 80-90% เป็นคนในพื้นที่ พอเหมืองถูกปิด ชาวบ้านตกงานเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ความเป็นอยู่ลำบาก ครอบครัวเลยต้องแยกย้ายกันคนละทิศละทางไปหางานที่อื่น ซึ่งภายหลังได้ทราบข่าวการกลับมาของเหมือง ชาวบ้านต่างดีใจและพร้อมจะย้ายกลับมาสู่บ้านเกิดตัวเอง”
ทั้งนี้ นายกฤษณะ ปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่าคนที่สนับสนุนเหมืองคือคนของเหมืองเท่านั้น โดยให้คำรับรองว่า “คนที่อยู่ในพื้นที่ตัวจริงจะรู้ดีว่า 90% ของคนในพื้นที่เห็นด้วยที่เหมืองกลับมาเปิด”
สำหรับรายได้ที่ชาวบ้านได้จากเหมืองนั้นสูงกว่าการทำนาอย่างชัดเจน เพราะไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงเรื่องความไม่แน่นอนของผลผลิต โดยนายปิยะพงษ์ นะราชา อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า “การทำเกษตรกรรมสามารถทำได้แค่ช่วงฤดูกาลที่เหมาะสมเท่านั้น ไม่สามารถทำได้ตลอดทั้งปี พอหมดฤดูกาลชาวบ้านก็ว่างงาน”
ส่วนประเด็นข้อวิตกด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่หยิบยกมาอภิปรายกันล่าสุดในสภานั้น ผู้นำชุมชนยืนยันว่าล้วนเป็นประเด็นที่คนนอกพื้นที่สร้างขึ้นมาทั้งสิ้น
นายกฤษณะ ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวเพิ่มเติมว่า “ที่ผ่านมามีการพิสูจน์มากมาย ซึ่งผลสรุปว่าไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าเหมืองก่อให้เกิดผลกระทบต่างๆ ตามที่เป็นข่าวเลย และขอยืนยันต่อสังคมว่าเหมืองไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด”
ในโอกาสนี้ นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายประสานงานกิจการภายนอก บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ชี้แจงประเด็นการได้รับการต่ออายุประทานบัตรและใบประกอบโลหกรรมล่าสุดว่า
“เป็นการได้รับอนุญาตบนพื้นที่เดิมของเหมือง เหมือง ไม่ได้พื้นที่อะไรเพิ่มเติมแต่อย่างใด โดยบริษัทฯ ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบขั้นตอน บริษัทฯ ส่งเอกสารประกอบการพิจารณาเป็นหมื่นหน้า ใช้เวลาดำเนินการรวม 3 ปี ก่อนจะได้รับอนุญาตดังกล่าว”
สำหรับความคืบหน้าการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด นั้นอยู่ในทิศทางที่ดี เพราะการเจรจายึดหลักเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย โดยทั้งบริษัทฯ และภาครัฐต่างมุ่งหวังร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมการเหมืองแร่ สร้างงานสร้างรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยบริษัทฯ มั่นใจในมาตรฐานการประกอบการของตนว่าได้มาตรฐานสากล
จากนั้นเวลา 13.30 น. คณะผู้นำชุมชนได้เข้าประชุมกับกรมพื้นฐานอุตสาหกรรมและการเหมืองแร่ เพื่อหารือเรื่องการปรับโครงสร้างกองทุนประกันความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อให้ชุมชนสามารถเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชุมชนได้อย่างทันท่วงที และตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งผู้นำชุมชนเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ผลการประชุมเป็นที่น่าพอใจ โดยนายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ อธิบดีกรมพื้นฐานอุตสาหกรรมและการเหมืองแร่ น้อมรับข้อเสนอ และจะนำไปประกอบการพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป