“ศุภาลัย” เติบโตต่อเนื่องลากยาวถึงปี 2566 คาดไตรมาส4 รายได้พุ่ง หนุนปี 64 สูงกว่าปีก่อนอย่างโดดเด่น ส่วนแผนงานปี 65 เชื่อยอดขายฟื้น แถมมาตรกระตุ้นอสังหาฯ ภาครัฐหนุนผลประกอบการขยับขึ้น ปรับคาดการณ์กำไรปี 2564-2566 เพิ่มอีก 7-18%
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นขยับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สำหรับบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (SPALI) อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้รับคำชื่นชมในแง่ของการบริหารงาน จนได้รับการตอบรับจากลูกค้า และนักลงทุนจำนวนมาก
ขณะที่ปัจจุบัน SPALI ถูกยกให้เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่น่าลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ถูกผลกระทบจากเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่มีโอกาสฟื้นตัวในระยะข้างหน้า เช่นเดียวกับหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก และพลังงาน หลังจากในช่วงที่เกิดโรคระบาดอย่างมากหลายประเทศต่างใช้มาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ธุรกิจต่างๆ หยุดชะงัก และไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์มาตั้งแต่กลางปี 2563 ทำให้ธุรกิจต่างๆ สะดุดไปมาก มีผลให้ธุรกิจและเศรษฐกิจตกต่ำลง
โดย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากเดิมที่เคยเติบโตโดเด่น แต่กลับถูกมาตรการล็อกดาวน์ที่ภาครัฐประกาศออกมา ทำให้ลูกค้าจากต่างประเทศไม่สามารถเดินทางเข้ามาทำธุรกรรมได้ตามปกติ และมีผลให้ธุรกิจมีกำไรตกต่ำลงมาก แต่หลังจากมีการยกเลิกการล็อกดาวน์ พบว่าธุรกิจอสังหาฯ กลับมาฟื้นตัวได้มากขึ้น แม้บางประเทศยังคงใช้มาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ผู้คนไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ก็ตาม นอกจากนี้ จากการที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลง อีกทั้งภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนธุรกิจ ทั้งด้านการโอนและภาษี ทำให้ธุรกิจกลับมาเติบโตได้มากขึ้น
สำหรับ SPALI ในปี 2563 พบว่าธุรกิจมีกำไรลดลงเหลือ 4.25 พันล้านบาท จากปี 2562 ที่ระดับ 5.40 พันล้านบาท แต่มาปี 2564 พบว่าธุรกิจของบริษัทกลับมีการเติบโตที่ดีขึ้นมาก เพราะแค่ 9 เดือนแรกทำกำไรได้เกือบเท่าทั้งปี 2563 แล้ว จนมีการประเมินว่าปี 2564 บริษัทอาจสามารถทำกำไรได้สูงถึงระดับ 5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจดำเนินไปอย่างปกติ หรืออยู่ในระดับก่อนเกิดโรคระบาด และเมื่อประเมินราคาหุ้นด้วย P/E ระดับ 10 เท่า กับราคาหุ้นในปัจจุบัน หลายฝ่ายเชื่อว่า SPALI ยังมี Upside ให้ขยับขึ้นไปได้อีกมาก
อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า นี่คืออีกหนึ่งบริษัทที่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลในระดับสูงไม่เป็นสองรองใคร เห็นได้จากอัตราผลตอบแทนในปี 2563 แม้กำไรจะลดลง แต่ยังสามารถให้อัตราเงินปันผลถึงระดับ 4% ลดลงเล็กน้อยจากช่วง 2 ปีก่อนหน้าที่สูงถึงระดับ 5%
“ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ SPALI แสดงความเห็นถึงภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ปี 2565 ว่า เรียลดีมานด์ยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ด้วยกำลังซื้อที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามทิศทางของเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาดี มีโอกาสเห็นการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ชะลอตัวไปในปีก่อน
ประกอบกับจากการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) ของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมาช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ เพียงแต่หากขยายช่องว่างระดับราคาจากต่ำ 3 ล้านบาท ไปเป็นระดับราคาไม่เกิน 3-5 ล้านบาท มองว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น และช่วยเพิ่มเม็ดเงินลงระบบเศรษฐกิจได้เช่นเดียวกัน
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2565 SPALI วางเป้าหมายยอดขายที่ไม่น้อยกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท และมีรายได้รวมที่ไม่ต่ำกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท โดยมียอดขายรอการโอนกรรมสิทธิ์ในมืออีกกว่า 3 หมื่นล้านบาท ที่คาดว่ารับรู้ต่อเนื่องไปอีก 3 ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกัน SPALI วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ จำนวน 31 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 3 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 4 หมื่นล้านบาท โดยการขยายการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้บริษัทจะรุกเข้าไปขยายตลาดใหม่ใน 5 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ลำพูน นครสวรรค์ นครปฐม และประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากมองเห็นเรียลดีมานด์มีการเติบโตที่สูงขึ้นทุกปีตามการขยายตัวของประชากรและครัวเรือน
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะเข้าไปทำตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศเพิ่มเติม ทั้งในประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และตลาดหลักออสเตรเลีย เพราะมีอัตราการเติบโตของประชากรและมีกำลังซื้อสูง
ส่วนเงินลงทุนในปี 2565 เบื้องต้น บริษัทวางงบประมาณไว้ที่ราว 8 พันล้านบาท เพื่อจัดซื้อที่ดินผืนใหม่รองรับการลงทุนโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ขณะที่โครงการที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2565 นี้ ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินรองรับไว้แล้วทั้งหมด
ด้าน “ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม” ประธานกรรมการบริหาร SPALI แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า การฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 จะเป็นไปในทิศทางบวก ด้วยอุปทานจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือเรียลดีมานด์ โดยเฉพาะสินค้าบ้านเดี่ยวที่มียอดขายทรงตัวแม้จะอยู่ในช่วงวิกฤต
ขณะที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจของไทยจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งในปี 2565 คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นตามการกลับมาเปิดประเทศ และการกลับมาดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ แต่เนื่องจากการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจและกาลังซื้อยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติ ทำให้การดำเนินธุรกิจต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ วางแผนเดินหน้ารุกตลาดภูมิภาค ขยายการลงทุนในต่างประเทศ และขยายการเช่าเพิ่มขึ้น
"เรามีมุมมองที่เป็นบวกกว่าปีที่ผ่านมา คาดว่าสินค้าแนวราบยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง และตลาดคอนโดมิเนียมจะเริ่มกับมาเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ปีนี้เราวางยอดขายที่ระดับ 2.8 หมื่นล้านบาท จากปี 2564 ที่ผ่านมาบริษัทยอดขายรวม 3.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 2.4 หมื่นล้านบาท และยอดขายจากโครงการร่วมทุน ต่างประเทศ 7 พันล้านบาท ขณะที่การขยายตลาดที่อยู่อาศัยออกสู่ต่างจังหวัดยังเดินหน้ากระจายการลงทุนต่อเนื่อง"
ปัจจุบันบริษัทมีความสามารถในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทมีสถานะการเงินที่ แข็งแกร่ง โดยมีเครดิตเรตติ้งระดับ A มี D/E Ratio อยู่ที่ 0.56 เท่า และมีต้นทุนการเงิน (Cost of Fund) ในระดับที่ต่ำเพียง 1.65%
โดยในมุมมอง ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2565 หลายฝ่ายเชื่อว่า มาตรการ LTV ที่ ธปท.ผ่อนคลายและการต่ออายุลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองในปีนี้จะเป็นผลบวกต่อปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวของบริษัท จากผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรไตรมาส 4/64 ของ SPALI จะเติบโต 32% เทียบปีก่อน และ 43% จากไตรมาสก่อน เฉลี่ย 2.46 พันล้านบาท ขณะที่คาดกำไรทั้งปี 64 เฉลี่ย 6.26 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อนหน้า ถือเป็นการทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากยอดขาย ขณะที่ปี 2565 คาดว่าจะมีกำไร 6.45 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%
โบรกเชื่อมั่น Q4 ยอดโอนพุ่ง
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางธุรกิจ SPALI ว่า ยอดโอนไตรมาส 4/64 จะเติบโตที่ระดับ 9.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยการโอนต่อเนื่องของโครงการคอนโด 3 โครงการ เข้ามากว่า 5 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งจากการเร่งโอนของลูกค้าเพื่อรับมาตรการลดภาษีการโอน (ราคาต่ำ 3 ล้านบาท) ซึ่งช่วงนั้นคาดว่าไม่ต่ออายุไปอีก 1 ปี แต่ล่าสุดต่อไปอีก 1 ปี
อีกทั้งการขายแนวราบที่ดี ทำให้มียอดโอนแนวราบเข้าเกือบ 4 พันล้านบาท ส่วน GPM คาดทรงตัว 40% รายจ่าย ขายและบริหารเพิ่มตามยอดโอน แต่บริษัทร่วมออสเตรเลียมีการโอนมากขึ้นหนุนส่วนแบ่งกำไรเพิ่มเป็น 150 ล้านบาท จาก 20 ล้านบาท ทำให้ภาพรวมกำไรไตรมาส 4/64 ออกมาโดดเด่นมากที่ 2.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% ดังนั้น คาดกำไรทั้งปีจบที่ 6.4 พันล้านบาท เติบโต 52% และประเมินปันผลครึ่งหลังปี 2564 ที่ 1.02 บาท คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาพื้นฐานที่ 26.00 บาท
ขณะที่ บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุ SPALI เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจ โดยแนะ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายที่ 28.00 บาท อิง 2022 P/E ที่ 8.6 เท่า โดยยอดโอนไตรมาส 4/64 ถือว่ายังสดใส ส่วนในปีนี้จะทรงตัวสูง เนื่องจากยอดโอนไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ราว 1-1.05 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และมีคอนโดใหม่โอนได้ต่อเนื่อง ส่งผลให้ทั้งปี 2564 ทำยอดโอนได้ราว 2.85 หมื่นล้านบาท เติบโตสูงถึง 40%
นอกจากนี้ จากการที่ SPALI ตั้งเป้าหมายยอดโอนปี 2565 ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท ถือว่ายังทรงตัวสูงจากปีก่อน โดยมี Backlog รอโอนมากราว 1.6 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 56% จากเป้าหมายโอนทั้งปีแล้ว ซึ่งจะมีคอนโดใหม่เริ่มโอนมากขึ้นเป็น 7 โครงการ (มากกว่าปี 2021 ที่มี 3 โครงการ) ขณะที่แนวราบจะยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง
ส่วนการตั้งเป้า Presales ปีนี้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% ส่วนใหญ่ยังเป็นแนวราบ ขณะที่มีแผนเปิดโครงการใหม่ 34 โครงการ มูลค่ารวม 4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% เทียบปีก่อน โดยในแง่มูลค่าจะยังเน้นแนวราบคิดเป็นสัดส่วน 75% คอนโด 25%
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า ต้นทุนการก่อสร้างปีนี้จะเพิ่มขึ้นราว 3-4% จากต้นทุนเหล็ก วัสดุก่อสร้าง ค่าขนส่ง และภาษีที่ดินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ SPALI จะทยอยปรับราคาขายขึ้นชดเชยได้ ทำให้กำไรไตรมาส 4/64 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ ดีกว่าที่ประเมินไว้
ขณะเดียวกัน SPALI ยังได้ผลบวกจากส่วนแบ่งกำไรจาก JV ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 146 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 651% เทียบปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1,560% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมียอดโอนโครงการในออสเตรเลียเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปรับกำไรปี 2564 ขึ้นเป็นเติบโตสูง 55% ส่วนปี 2565 ยังเติบโตขึ้นจากฐานสูงได้ต่อเนื่อง ทำให้ยังคงแนะนำ "ซื้อ" และราคาเป้าหมายที่ 28.00 บาท อิง P/E ที่ระดับ 8.6 เท่า
โดยยังคงประเมินกำไรสุทธิปี 2564 ดีขึ้นเป็น 6.8 พันล้านบาท จะได้ผลบวกจาก Backlog ที่สูง มีคอนโดใหม่เริ่มโอนมากขึ้น และแนวโน้มแนวราบยังคงมีโมเมนตัมเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ได้ผลบวกจากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น รวมถึงในช่วงปลายปีนี้จะมีการเร่งซื้อก่อนที่ ธปท.จะยกเลิกผ่อนคลาย LTV ทำให้แนวโน้มปี 2565 ยังคงสดใส
ด้าน บล.กรุงศรี ประเมินทิศทางธุรกิจ SPALI ว่า ปรับคาดการณ์กำไรปี 2564-2566 เพิ่มขึ้น 7-18% หลัง SPALI ประกาศแผนธุรกิจโดยเฉพาะการเปิดตัวโครงการใหม่สูงกว่าที่คาดมาก อีกทั้งบริษัทมีแนวโน้มที่จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/64 มากกว่าที่เคย
ทั้งนี้ SPALI ประกาศแผนธุรกิจปี 2565 โดยตั้งเป้าแผนการเปิดโครงการใหม่สร้างระดับสูงสุดใหม่ทั้งในแง่จำนวนโครงการและมูลค่าการพัฒนาโครงการ คือ จะเปิดโครงการใหม่ถึง 34 โครงการ ด้วยมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท เติบโต 61% แบ่งเป็นแนวราบ 31 โครงการมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% และคอนโดมิเนียมใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 163% โดยตั้งเป้ายอดจองปีนี้ที่ระดับ 2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% แต่ยอดโอนทรงตัวที่ 2.9 หมื่นล้านบาท
สิ่งที่น่าสนใจจากแผนงานดังกล่าว คือ SPALI ยังเน้นแผนธุรกิจไปที่โครงการแนวราบซึ่งมีแนวโน้มที่จะโดดเด่นกว่าคอนโดฯ โดยฝ่ายบริหารเชื่อว่าอาจใช้เวลากว่า 4-5 ปีที่ตลาดคอนโดฯ ที่จะฟื้นตัวกลับสู่ระดับในปี 2561 (ระดับก่อนการระบาดโควิด-19 และผลของมาตรการ LTV) แม้ไทยจะเริ่มกลับมาเปิดประเทศ แต่มองอุปสงค์จากต่างประเทศยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ไม่เพียงแต่เพราะตลาดอสังหาฯ จีนชะลอตัวลง แต่ยังมีประเด็นมุมมองที่ไม่ดีของชาวต่างชาติต่อตลาดอสังหาฯ ไทยหลังได้รับประสบการณ์ไม่ดีในช่วงก่อนหน้าเนื่องจาก Agent มักขายราคาที่สูงกว่าเมื่อคนซื้อคือชาวต่างชาติ
ทำให้ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อ valuation อัปไซด์และคาดกำไรไตรมาส 4/65 แข็งแกร่ง โดยปรับคาดการณ์กำไรปี 2564-2566 เพิ่มขึ้น 18% 9% และ 7% ตามลำดับ จากแผนการเปิดโครงการใหม่เชิงรุกของบริษัทและรายได้การโอนที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าคาด ส่วนไตรมาสสุดท้ายปี 2564 ประเมินผลประกอบการจะแข็งแกร่ง ที่ 2.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% เนื่องจากรายได้การโอนมีแนวโน้มฟื้นตัวแรงหลังจากผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ช่วงไตรมาส 3/64 แม้แนวโน้มการเติบโตไม่สูงแต่เป็นเพราะฐานผลประกอบการที่แข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา และสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่เน้นในโครงการแนวราบมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นมีอัปไซด์ valuation และมีผลตอบแทนปันผลที่ดีประมาณ 5% จากเกณฑ์อัปไซด์รวมเกิน 15% จึงปรับคำแนะนำ SPALI จากถือเป็น ซื้อ ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 25.6 บาท อ้างอิง P/E ระยะยาวที่ 8x