โบรกเกอร์ประสานเสียงตลาดหุ้นไทยเสี่ยงพักฐานในกรอบ 1,690-1,695 จุด หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ ม.ค.65 พุ่ง 7.5% กังวลเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าที่คาด ขณะที่ระดับดัชนีที่ 1,700 จุดยังมีความหวัง แต่แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม Outperform เช่น ธนาคารพาณิชย์ ท่องเที่ยว ICT และ ปิโตรเคมี
เป็นไปตามคาดหมาย หลังจากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือตัวเลขเงินเฟ้อ ประจำเดือน ม.ค. ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 7.5% ถือเป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบ 39 ปี นับตั้งแต่เดือน ก.พ.1985 หลังจากราคาพลังงาน และสินค้าอย่างเช่นรถยนต์ และอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ
เพราะฉะนั้นจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นกว่าเดิมในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ ในระดับ 0.5% จากก่อนหน้าที่คาดว่าจะปรับขึ้นที่ 0.25% และอาจปรับขึ้นเป็น 1% ในเดือน ก.ค. เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกทันที
สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น แม้ดัชนีในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะปรับตัวขึ้นยืนเหนือระดับ 1,700 จุด ได้นั้น แต่โบรกเกอร์หลายแห่งประเมินว่า SET Index ระดับนี้เป็นระดับที่มีความเสี่ยง และมีโอกาสพักฐาน โดยเฉพาะการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงและเร็วกว่าที่คาดไว้
KTBST คาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับฐาน มองหุ้นลงเป็นจังหวะซื้อ
บทวิเคราะห์ บล.เคทีบีเอสที ระบุว่า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลดลง (ปรับฐาน) หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีโอกาสปรับดอกเบี้ยเร็วและมากกว่าคาด จากตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เดือน ม.ค.ที่สูงขึ้น 7.5% จากที่คาด 7.3% และเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมากกดดันให้ Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าที่เคยคาดการณ์
นอกจากนี้ การแสดงความเห็นของนาย James Bullard ประธาน Fed สาขา St.Louis ที่ระบุว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือน มี.ค. รวมถึงขยับขึ้นเป็น 1% ในเดือน ก.ค. มีผลลบต่อตลาด โดยนักลงทุนสหรัฐฯ ตกใจ และขายหุ้นทั้ง Value และ Growth ออกมาทั้งคู่ ขณะที่พันธบัตรที่ตอบสนองมากที่สุด คือ อายุ 2 ปี ที่ปรับจาก 1.36%เป็น 1.58% ภายในวันเดียว และ Bond Yield อายุ 10 ปี ขึ้นแตะระดับ 2.0% อีกครั้ง คาดมีผลกระทบมาถึงตลาดหุ้นเอเชีย รวมทั้งไทย แต่น่าจะเป็นช่วงสั้นๆ หุ้นเสี่ยงต่อการถูกขายทำกำไร คือ หุ้นที่ราคาขึ้นมามาก และหุ้นที่อิงกับ Tech
ดังนั้น ตลาดอาจมีการพักฐานเล็กๆ ตามตลาดอื่นๆ จากความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed โดยเป้าหมายดัชนีรอบนี้ยังมองไว้ที่ 1,720 จุด การที่ราคาหุ้นลงมายังเป็นจังหวะซื้อ โดยให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศ
ASPS แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม Outperform
ด้านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เอเซียพลัส (ASPS) ประเมินว่า Consensus ในตลาดมีมุมมองต่อการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในปีนี้ในอัตราเร่งมากขึ้น เชื่อว่าสินทรัพย์เสี่ยงยังผันผวนรอรายงาน Fed Minutes วันที่ 16 ก.พ. (คาดรอรายละเอียดเรื่องดอกเบี้ย การลด Balanc sheet) โดยรวมช่วงสั้นเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง เห็นจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวานปรับฐานลง (ดัชนี Nasdaq ปรับลงมากสุด 2.1% Dow jones -1.8% S&P500 -1.47%) คาดจะเป็น Sentiment ลบต่อตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ขณะที่ Bond Yields สหรัฐฯ อายุ 2 ปีและ 10 ปีปรับขึ้นแรง และทำจุดสูงสุดในรอบมากกว่า 2 ปี อยู่ที่ 1.58% และ 2.035% ตามลำดับ (Sentiment บวกต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มประกันชีวิต เช่น BLA)
คำแนะนำลงทุนช่วงที่ความกังวลเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูง ASPS ทำการศึกษาในอดีตช่วงที่เงินเฟ้อโลกและไทยเป็นขาขึ้นในช่วงปี 50-51 พบว่า Sector ที่ Outperform ของไทย เช่น กลุ่มปิโตร-น้ำมัน ตามราคาน้ำมัน กลุ่มประกัน กลุ่มอาหาร และกลุ่ม ICT
และอีกการศึกษาในล่าสุดช่วง ระหว่าง 5-27 ม.ค.65 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดกังวล Fed ขึ้นดอกเบี้ย พบว่า Sector ที่ Outperform คือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่ม ICT และกลุ่มปิโตรเคมี โดยรวมยังแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ Outperform
UOBKH มอง SET Index 1,700 ยังเสี่ยง
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุว่า ราคาสินทรัพย์ส่วนใหญปรับลงหลังสหรัฐฯ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าคาด โดยเดือน ม.ค.65 ออกมาสูงกว่าคาดที่ระดับ 7.5% yoy (ตลาดคาดที่ 7.3% yoy) ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น คริปโตเคอร์เรนซี รวมถึงน้ำมันผันผวนหนัก ขณะที่เงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นสะท้อนความกังวลของตลาดที่มองเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดในช่วงสั้นจะสามารถประคองตัวไดั จากมุมมองเงินเฟ้อที่คาดใกล้ผ่านจุดสูงสุดในไตรมาส 1/65 รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินเฟดที่น่าจะไม่ยกระดับความเข้มงวดมากขึ้นจากการส่งสัญญาณก่อนหน้า คาดจะเป็นปัจจัยหนุนเชิงบวกต่อตคลาดหุ้นโลก รวมถึงไทยที่สามารถแกว่งขึ้นได้ต่อในระยะสั้น-กลาง
ยังคงมุมมองดัชนีสูงกว่า 1,700 จุด เป็นจุดที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และอาจเป็นจังหวะลดน้ำหนักสถานะลงทุนในหุ้นที่เริ่มแพงหรือมีความน่าสนใจน้อยลงเชิงมูลค่า หากประเมินส่วนต่างจากอัตราผลตอบแทนระหว่างหุ้นเทียบพันธบัตร พบว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในจุดที่ค่อนข้างแพงและเปราะบาง ส่งผลให้การซื้อบริเวณนี้มี Risk/reward ที่ไม่น่าสนใจ ซึ่งอาจต้องอาศัยการเติบโตกำไรตลาดในปี 65 ที่สูงกว่า 13-15%
ฟินันเซียไซรัส คาดระยะสั้น SET มีแนวโน้มลงในกรอบ 1690 +-
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินว่า SET Index มีแนวโน้มลงระยะสั้นหากรอบ 1,690+- จุด ตามบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างเป็นลบ และเม็ดเงินที่ไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง หลังสหรัฐฯ ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ม.ค. ออกมาสูงกว่าตลาดคาด +0.6% M-M +7.5% Y-Y ทำให้ตลาดกังวลว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ประเมิน โดยปัจจันตลาดคาด FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมเดือน มี.ค. ด้วยความน่าจะเป็น 89% และขึ้นครบ 1% ในการประชุมเดือน มิ.ย.
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่ม Tech และ Growth ที่ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PER สูงยังคงถูกกดดัน ขณะที่กลุ่ม Domestic และ Value Play จะปรับตัวได้แข็งแรงกว่า โดยเฉพาะแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่จะเริ่มฟื้นตัวชัดขึ้นใน 2H22 หนุนการเติบโตระยะยาวและหนุนกระแสเงินทุนคาดยังไหลเข้า กลยุทธ์ยังเน้นลงทุนในหุ้นที่คาดมีกำไร 4Q21 แข็งแกร่ง และ PER/PBV ไม่สูง