ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb analytics) ประเมินความเสี่ยงในที่ภาคธุรกิจยังต้องเผชิญในปี 65 เพื่อให้ผู้ประกอบการรับทราบและเตรียมรับมือโดยได้ทำการศึกษาใน 3 ปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ได้แก่ 1) การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน 2) การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ 3) ความเข้มงวดของนโยบายการค้าโลกที่มีผลต่อการส่งออกการดำเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงรอบด้าน ผู้ประกอบการต้องพยายามประคับประคองรายได้ของธุรกิจให้อยู่รอด ดังนั้น ความเสี่ยงต่างๆ ที่กระทบต่อธุรกิจเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องทราบเพื่อเตรียมรับมือให้ทันท่วงที ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics จึงทำการศึกษา 3 ปัจจัยเสี่ยงในปี 2565 ที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญ ได้แก่ 1) การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน 2) การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ 3) ความเข้มงวดของนโยบายการค้าโลกที่มีผลต่อการส่งออก โดยแบ่งผลการวิเคราะห์ความเสี่ยงต่างๆ ดังนี้
ปัจจัยเสี่ยงที่ 1 การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ประเมินว่า การระบาดในระลอกล่าสุดจะไม่รุนแรงเท่ากับการระบาดในครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา และจะใช้เวลา ประมาณ 3-4 เดือน เพื่อกลับสู่ระดับปกติ (เทียบกับรายได้ปี 2562) ยกเว้นธุรกิจบริการที่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากไทยมีประสบการณ์ในการจัดการกับการแพร่ระบาด สามารถป้องกันได้ทั้งในส่วนภาคเอกชนและประชาชน อีกทั้งมีการฉีดวัคซีนครอบคลุมทั่วประเทศ และเร่งฉีดเข็ม 3 ดังนั้น การใช้มาตรการป้องกันจึงเป็นไปในลักษณะเชิงผ่อนคลาย ไม่รุนแรงจนต้องล็อกดาวน์ ทำให้ภาคธุรกิจค่อยๆ ปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกับการแพร่ระบาด โดยประเมินความเสี่ยงตามรูปแบบการฟื้นตัวหลังการระบาดบรรเทาลงจาก 3 ระลอกที่ผ่านมา พบว่า ธุรกิจที่ยังมีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ท่องเที่ยวและร้านอาหาร ความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ ขนส่งและโลจิสติกส์ น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ปัจจัยเสี่ยงที่ 2 การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ณ สิ้นปี 2564 ราคาวัตถุดิบฝั่งผู้ผลิตในกลุ่มพลังงานและอาหารมีการปรับตัวสูงขึ้นกว่า 45% และ 5% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 ในขณะที่ราคาสินค้าฝั่งผู้บริโภคกลุ่มขนส่งและอาหาร ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 10% และ 1% ตามลำดับ ทั้งนี้ การที่ราคาวัตถุดิบฝั่งผู้ผลิตปรับตัวสูงกว่าราคาฝั่งผู้บริโภคในกลุ่มสินค้าประเภทเดียวกัน สะท้อนถึงผลกำไรของผู้ประกอบการมีแนวโน้มลดลง ทั้งในกรณีที่ธุรกิจไม่สามารถส่งผ่านราคาวัตถุดิบไปยังผู้บริโภคได้ ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบปรับสูงขึ้น กำไรลดลง และในกรณีที่ธุรกิจสามารถส่งผ่านราคาวัตถุดิบไปยังราคาสินค้าฝั่งผู้บริโภคได้ แต่จะทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง นำไปสู่ยอดขายของผู้ประกอบการลดลงตามไปด้วย จากผลการวิเคราะห์ตามตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input-Output Table) พบว่าการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและพลังงาน ส่งผลทำให้สัดส่วนต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.2% โดยธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ อาหาร โรงแรมและร้านอาหาร เครื่องดื่ม ขนส่งโลจิสติกส์ และฟาร์มเลี้ยงสัตว์
และปัจจัยเสี่ยงที่ 3 ความเข้มงวดของนโยบายการค้าโลกและการแข่งขันสูง ทำให้ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวโดยเห็นได้จากสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศต่อจีดีพีของไทยลดลงจาก 138% ในปี 2554 มาอยู่ที่ 98% ในปี 2563 แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ชี้ว่า การพึ่งพิงภาคการค้าระหว่างประเทศมีทิศทางลดลง ประเทศต่างๆ หันมาพึ่งเศรษฐกิจในประเทศของตนเองมากขึ้น ดังนั้น มาตรการการค้าที่เข้มงวดจะถูกนำมาใช้ เช่น มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti- dumping : AD) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) การทำประมงผิดกฎหมาย (IUU fishing) การใช้แรงงานผิดกฎหมาย กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้ธุรกิจส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทั้งนี้ ttb analytics ประเมินว่า การกีดกันการค้าที่มิใช่ภาษีดังกล่าวจะยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจส่งออกไทยที่อยู่ในข่ายได้รับผลกระทบจากมาตรการเหล่านี้อาจทำให้ยอดส่งออกชะลอลง โดยธุรกิจส่งออกที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ประมง ธุรกิจที่มีความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ อาหาร ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เหล็กและเหล็กกล้า ผลิตภัณฑ์ยางพารา เฟอร์นิเจอร์ แฟชั่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก และเกษตรแปรรูป
อย่างไรก็ตาม จาก 3 ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ควรจับตามองธุรกิจท่องเที่ยวและร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับกลุ่มอาหาร โดยเมื่อประมวลผลกระทบรวมของ 3 ปัจจัยเสี่ยงแล้ว ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจดังกล่าวเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบในระดับสูง เนื่องจากได้รับความเสี่ยงทั้งจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนและรายได้โดยตรง เป็นกลุ่มที่ต้องระมัดระวังในปี 2565 เป็นพิเศษ
ทั้งนี้ จากปัจจัยเสี่ยงทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าว จึงแนะให้ผู้ประกอบการปรับตัว ขณะเดียวกันภาครัฐควรช่วยเหลือตามความเดือนร้อน ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยเสี่ยงส่งผลกระทบต่อธุรกิจแตกต่างกัน ดังนั้น การที่ผู้ประกอบการทราบถึงแนวโน้มความเสี่ยงที่กระทบต่อธุรกิจของตนเอง จะทำให้วางแผน และปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจก่อนที่ความเสี่ยงจะเข้ามากระทบกับธุรกิจได้ เช่น หากความเสี่ยงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อรายได้ลดลง สามารถใช้กลยุทธ์การกระจายตลาดหาช่องทางการตลาดใหม่ๆ รักษาฐานลูกค้าให้มั่น หากความเสี่ยงกระทบด้านต้นทุน มุ่งเน้นการลดต้นทุนลงในรูปแบบต่างๆ โดยที่คุณภาพไม่ลดลง ในขณะที่ภาครัฐเมื่อทราบถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นต่อภาคธุรกิจ ควรดำเนินมาตรการประคับประคองรายได้และต้นทุนของผู้ประกอบการในธุรกิจที่ได้รับความเดือดร้อนให้ตรงกลุ่ม เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถฝ่าฟันความเสี่ยงที่เผชิญอยู่และกลับมาฟื้นตัวได้ดังเดิม