นักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นยาวนานมาหลายสิบปี ทุกคนยอมรับว่าปีนี้เป็นปีที่มีการปั่นหุ้นกันอย่างอึกทึกครึกโครมมากที่สุด โดยหุ้นที่มีพฤติกรรมที่ส่อพฤติกรรมปั่นพุ่งทะยานขึ้นมายกแผงหลายสิบตัว
หุ้นขนาดเล็กที่มีปัจจัยพื้นฐานเปราะบาง ค่าพี/อี เรโชสูงกว่า 500 เท่า หรือหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่มีผลประกอบการขาดทุนติดต่อกันหลายปี ราคากลับปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงและต่อเนื่อง เพราะมีการสร้างข่าวดีเข้ามากระตุ้น
และนักลงทุนรายย่อยพร้อมแห่เก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานเปราะบางชนิดไม่กลัวตาย ไม่หวั่นว่าจะหมดเนื้อหมดตัว หรือกลายเป็นแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ
ถ้าดูตัวเลขหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงสุด 20 อันดับแรกนับตั้งแต่ต้นปีคงจะมีความรู้สึกเดียวกันว่า ปีนี้มีหุ้นที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงมากจริงๆ และอาจมากที่สุดเป็นประวัติการณ์นับแต่ก่อตั้งตลาดหุ้น
สิ้นปี 2563 ดัชนีหุ้นปิดที่ระดับ 1,449 จุด สิ้นปีนี้ถ้าดัชนีหุ้นพุ่งขึ้นมาปิดที่ 1,650 จุด เท่ากับดัชนีเพิ่มขึ้น 200 จุด หรือเพิ่มขึ้น 11.38% ซึ่งถือไม่มากนัก
แต่ 20 อันดับหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดในปีนี้ อันดับหนึ่งคือ บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2564 ปิดที่ 1.83 สตางค์ ล่าสุดวันที่ 22 ธันวาคมปิดที่ 131 บาท เพิ่มขึ้น 129.17 บาท หรือเพื่อขึ้น 7,058.46%
หุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดอันดับที่ 20 คือ บริษัท ทีมพรีซีชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TEAM เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2564 ปิดที่ 1.07 บาท ล่าสุดวันที่ 22 ธันวาคมปิดที่ 4.88 บาท เพิ่มขึ้น 3.71 บาท หรือเพิ่มขึ้น 346.72%
สรุปแล้วปีนี้มีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเกิน 300% ประมาณ 30 บริษัท มีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเกิน 1,000% จำนวน 3 บริษัท และนักลงทุนรายได้ที่จับหุ้นตัวนี้ไว้ตั้งแต่ตอนต้นปี โดยอดทนถือไว้ไม่ขายออกเสียก่อน แต่มาขายในช่วงปลายปี รวยเละกันถ้วนหน้า
แต่หุ้นที่พุ่งขึ้นอย่าร้อนแรงมาราธอนเหล่านี้ กับไม่ใช้หุ้นในสายตานักลงทุนต่างชาติ ไม่ใช่หุ้นที่กองทุนในประเทศสนใจ ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นหุ้นที่มีการสร้างนิยายมากระตุ้นการเก็งกำไร โดยเป็นหุ้นที่มีเจ้ามือหรือนักลงทุนขาใหญ่อยู่เบื้องหลังการลากราคา
และมีนักเก็งกำไรรายย่อยตามแห่เข้าไปซื้อขายแลกหมัดวัดดวง
ตลาดหลักทรัพย์ต้องกลายเป็นเสือกระดาษ เพราะไม่อาจกำกับดูแลให้หุ้นมีการซื้อขายผิดปกติหลายสิบบริษัท กลับสู่การซื้อขายตามปกติได้ ไม่อาจสยบความร้อนแรงของราคาหุ้น และไม่สามารถเตือนให้นักลงทุนถอยห่างจากหุ้นที่มีพฤติกรรมปั่น
จนต้องทบทวนมาตรการกำกับการซื้อขายใหม่ให้มีความเข้มข้นขึ้น ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ปีหน้า แต่ไม่รู้ว่าจะกำกับหุ้นร้อนได้หรือไม่
นักลงทุนที่ลงทุนด้วยเหตุด้วยผล ยึดปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักในการพิจารณาเลือกหุ้น ลงทุนในรูปแบบอนุรักษ์ ซื้อหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว
ไม่เล่นหุ้นปั่น หลีกเลี่ยงหุ้นร้อน ไม่เสี่ยงกับหุ้นที่ขึ้นลงอย่างหวือหวาโดยไม่มีปัจจัยสนับสนุน ปีนี้ต้องพ่ายแพ้นักเก็งกำไรระยะสั้นอย่างราบคาบ
เพราะนักเก็งกำไรระยะสั้นกล้าเสี่ยงกับหุ้นร้อน พร้อมเล่นกับเจ้ามือหรือขาใหญ่ ถ้าจับหุ้นถูกตัว รวยกันไม่ทันจะข้ามปี
และปีนี้มีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเกินกว่า 100% นับร้อยบริษัทเสียด้วย
อีกไม่กี่วันจะปิดฉากตลาดหุ้นปี 2564 และคงต้องยอมรับว่า ปีนี้เป็นปีทองของการปั่นหุ้นจริงๆ