วันนี้(15พ.ย.64)ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)(SCB)ได้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 โดยเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อพิจารณาอนุมัติใน 3 วาระหลักๆได้แก่ วาระ 1 การขออนุมัติแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจการเงินไทยพาณิชย์ เพื่อให้ธนาคารได้ดำเนินการให้มีการการจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด คือ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)(SCB Public Company Limited : SCBX) และเข้าเป็นบริษัทใหญ่ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคาร รวมทั้งมีบทบาทในการกำหนดนโยบายกำกับดูแลและบริหารจัดการกลุ่มธุรกิจการเงินให้เกิดความสอดคล้องในด้านยุทธศาสตร์โดยรวม ตลอดจนบริหารจัดการการลงทุนในธุรกิจใหม่ด้วย
โดยนายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)ได้นำเสนอถึงความจำเป็นและแนวทางในการปรับโครงสร้างว่า ถึงแม้ว่าธุรกิจธนาคารจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ในเชิงอัตราตอบแทนนั้น จากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งจากธุรกิจเดียวกัน และธุรกิจนอนแบงก์ทั้งในประเทศ และนอนแบงก์ขนาดใหญ่จากต่างประเทศ ทำให้ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากแต่ให้ผลตอบแทนหรือผลกำไรที่ต่ำลงในปัจจุบัน การตั้ง SCBX มองเห็นโอกาสในธุรกิจทางการเงินที่ทำได้โดยที่ไม่ต้องภายใต้โครงสร้างของธนาคาร และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าแต่ความเสี่ยงก็สูงกว่าเช่นกัน ซึ่งก็จะมาสร้างความบาลานซ์กับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่มีผลตอบแทนต่ำและความเสี่ยงที่ต่ำ และจะทำให้ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นในภาพรวมที่เติบโตขึ้นด้วย
ทั้งนี้ จากการลงคะแนนของผู้ถือหุ้นในวาระนี้ ได้มีมติเห็นด้วยกับการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจการเงินไทยพาณิชย์ด้วยคะแนนเสียงกว่า 99%หรือมากกว่า 3ใน4 ของผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ออกเสียง โดยภายหลังการอนุมัติ ทาง
SCBX จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) เพื่อแลกกับหลักทรัพย์ของ SCBX ในอัตรา 1 หุ้นสามัญของธาคารต่อ 1 หุ้นสามัญของ SCBX หลังจากทำคำเสนอซื้อเสร็จ
หลักทรัพย์ SCBX จะเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแทนหลักทรัพย์ของธนาคารที่จะเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯในวันเดียวกัน โดยหลักทรัพย์เข้ามาแทนจะใช้ชื่อย่อเดียวกับธนาคารคือ SCB โดยคาดว่าขั้นตอนการแลกหุ้นจะเกิดขึ้นในต้นปีหน้าและเสร็จสิ้นในเดือนมีนาคมซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับกระบวนการที่จะได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆด้วย
สำหรับวาระที่ 2 เป็นขอการอนุมัติโอนย้ายบริษัทย่อยและธุุุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน โดยขออนุมัติการโอนย้ายบริษัทย่อยในเครือธนาคาร10 บริษัท อาทิ บล.ไทยพาณิชย์,บริษัทเอสซีบี เท็นเอกซ์, บริษัทโทเคน เอกซ์, โดยประมาณว่ามูลค่ารวมของการโอนย้ายบริษัทย่อยจะอยู่ที่ประมาณ 19,504 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 และเป็นการขออนุมัติโอนธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลที่ไม่มีหลักประกันให้กับบริษัท การ์ด เอกซ์ที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่โดย SCBX ทั้งนี้ ธนาคารได้ประเมินมูลค่าของการโอนธุรกิจในเบื้องต้นประมาณ 111,265 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 1.08 เท่าของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิตามบัญชี โดนนายอาทิตย์กล่าวเสริมว่า เงินทุนที่การ์ด เอกซ์จะนำมาใช้ในการโอนธุรกิจครั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะมาจากเงินเพิ่มทุนจาก SCBX และอีกส่วนจะมาจากเงินกู้
ส่วนการคาดหวังด้านรายได้นั้น ในปัจจุบันรายได้หลัก 80-90%จะมาจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ แต่ในอนาคตก็จะมีการปรับสัดส่วนรายได้จากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเรามองสัดส่วนว่าสัดส่วนรายได้ที่มาจากแบงก์น่าจะเหลือกว่า 60% หรือมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารจะประมาณ 1 ใน 3 โดยบริษัทการ์ด เอกซ์น่าจะมีความพร้อมในการเริ่มทำรายได้ก่อน และที่เหลือจะทยอยเข้ามาใน 3-5 ปีข้างหน้า ส่วนการเข้าถึอหุ้นใน Bitkub จำนวน 51% ผ่านบล.ไทยพาณิชย์นั้น เป็นรายการที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ต้องผ่านทำดิวดีลิเจนท์ และผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน
และวาระที่ 3 ได้แก่ วาระเกี่ยวกับการจ่ายปันผลระหว่างกาล โดยได้มีการขออนุมัติให้ธนาคารจ่ายโอนเงินปันผลระหว่างกาล จากกำไรสุทธิประจำปี 2564 และกำไรสะสมตามงบการเงินเฉพาะล่าสุดของธนาคารจำนวน 70,000 ล้านบาทให้แก่ SCBX เพื่อดำเนินกาาตามแผนการปรับโครงสรางการถือหุ้น SCBX จะต้องมีการรับโอนบริษัทย่อยและโอนธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลไม่มีหลักประกัน SCBX จึงต้องมีเงินทุนเพียงพอต่อการดำเนินการและขยายธุรกิจในอนาคต
นายอาทิตย์กล่าวเสริมว่า ในปีแรกที่รายได้หลักของ SCBX จะยังคงมาจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์นั้น จะยังคงพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ SCB ที่กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นของ SCBX ในอัตราเดิมคิอร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ หรือขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ด้วย แต่ระยะเวลาการจ่ายอาจจะเลื่อนออกไปจากปกติเป็นเดือนพฤษภาคมเป็นประมาณเดือนสิงหาคมเพื่อให้ขั้นตอนการโอนย้ายเสร็จสิ้น ส่วนในปีต่อๆไปก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงนั้นๆและนโยบายของ SCBX รวมถึงผู้กำกับดูแล ขณะที่การโอนกำไรสะสมมาจากธนาคารไทยพาณิชย์นั้น จะทำในครั้งนี้เพียงครั้งเดียว และยังคงมีนโยบายในการรักษาระดับเงินกองทุนของธนาคารให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งต่อการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นได้มีมติเห็นชอบในวาระที่ 2 และ 3 ในสัดส่วนที่เกินกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ออกเสียงเช่นเดียวกัน