"เอสซีจี แพคเกจจิ้ง" กำไรงวดนี้ 1,780.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 1,335.14 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33%
นายดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP แจ้งผลงานไตรมาส 3 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 1,780.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 1,335.14 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 21% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีอัตรากำไรสุทธิที่ 6% เหตุหลักที่ทำให้ EBITDA และกำไรสำหรับงวดลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนนั้นมาจากต้นทุนค่าระวางเรือและต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง
ขณะที่มีรายได้จากการขาย 31,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากการขยายธุรกิจแบบ M&P (SOVI, Go-Pak,Duy Tan และ Intan Group) และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลให้อุปสงค์ของผู้บริโภคในประเทศกลับมาขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ในส่วนของ EBITDA ในช่วงเวลาเดียวกันมีมูลค่า 4,910 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมี EBITDA margin ที่ 15%
ทั้งนี้ บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงโดยการจัดหาวัตถุดิบจากหลายแหล่งทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และโอเชียเนีย รวมถึงเพิ่มเครือข่ายจุดรับกระดาษรีไซเคิลภายในประเทศ SCGP ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญรวมถึงการผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศต่างๆ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับการเติบโตจากการขยายกำลังการผลิตในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2564 นั้น SCGP ได้ประกาศการลงทุนสร้างฐานการผลิตใหม่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม โดยมีมูลค่าการลงทุน 8,133 พันล้านด่อง (ประมาณ 11,793 ล้านบาท) รวมค่าที่ดิน ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ และเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น กระดาษ Lightweight เพื่อรองรับการเพิ่มกำลังการผลิตอีก 370,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 70% จากกำลังการผลิตเดิมที่มีฐานการผลิตอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม คาดว่าจะพร้อมดำเนินการผลิตได้ในช่วงต้นปี 2567 การลงทุนในครั้งนี้จะเป็นพื้นฐานในการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันต่อไปในอนาคต