เอสซีจี แพคเกจจิ้งปลื้มกำไร 9 เดือนแรกปีนี้พุ่ง 24% แตะ 6.1 พันล้านบาท พร้อมควัก 3 พันล้านในไตรมาส 4 นี้ปิดดีลซื้อ Deltalab จากสเปน และลงทุนโครงการต่อเนื่อง ตอกย้ำปี 65 รายได้โตต่อเนื่องจากปีนี้ตั้งเป้ากว่า 1 แสนล้านบาท แย้มปีหน้ารับรู้รายได้จากโครงการ M&P ครบปีราว 1.8 หมื่นล้านบาท เล็งบุกตลาดจีนตอนใต้อาศัยฐานการผลิตใหม่ที่เวียดนามตอนเหนือ
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ งวด 9 เดือนแรกของปี 2564 ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 6,178.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,971.48ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 89,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) อยู่ที่ 15,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
รายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น เกิดจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำวันยังเติบโตได้ดีและต่อเนื่อง เช่น อาหารแช่แข็ง อาหารและผลไม้กระป๋อง อาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย และผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลบ้าน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา ยุโรป และภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลดีต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ ยังพัฒนานวัตกรรมและปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้งานของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ส่วนปี 2565 บริษัทคาดว่ารายได้เติบโตมากกว่าปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายไว้กว่า 1 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้จากเงินลงทุนการควบรวมกิจการ (M&P) เข้ามาครบปีราว 1.8 หมื่นล้านบาท และยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตทั้งในและต่างประเทศที่จะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ ทำให้คาดว่ารายได้ปีหน้าจะออกมาเชิงบวก
นายวิชาญกล่าวว่า แนวโน้มการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2564 บริษัทจะใช้เงินลงทุนเพิ่มอีก 3,000 ล้านบาทเพื่อใช้ในการปิดดีลซื้อกิจการ Deltalab, S.L (Deltalab) บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูงในประเทศสเปนในช่วงไตรมาส 4 นี้ และใช้ในส่วนของโครงการขยายกำลังการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของบริษัท ทำให้ปีนี้บริษัทฯ จะใช้เงินลงทุนในการขยายธุรกิจรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อรักษาความเป็นผู้นำโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมทุ่มเงินลงทุน 11,793 ล้านบาทเพื่อลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม มีกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม 3.7 แสนตันต่อปี คิดเป็น 70% ของกำลังผลิตปัจจุบัน คาดว่าโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จในต้นปี 2567 เพื่อรองรับตลาดบรรจุภัณฑ์ทางตอนเหนือที่ปัจจุบันยังไม่มีโรงงานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่ในพื้นที่ดังกล่าว ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสทางการตลาดทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยอาศัยฐานการผลิตที่เวียดนามตอนเหนือด้วย
แนวโน้มตลาดบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนจะปรับตัวดีขึ้นตามกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ประกอบกับประสิทธิภาพในการผลิตสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจทั่วโลก ส่วนการเปิดในประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อประเทศและทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากขึ้น ซึ่งจะหนุนธุรกิจร้านอาหารและสตรีทฟูดให้กลับมาคึกคัก รวมถึงยังเกิดการใช้บรรจุภัณฑ์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดราว 30%