xs
xsm
sm
md
lg

TU อวดกำไรงวดนี้ทะลุ 1.9 พันล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




"ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป" กำไรงวดนี้ 1,936.79 ล้านบาท และมีรายได้ 35,539 ล้านบาท หลังภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เมื่อโควิด-19 คลี่คลาย ผู้บริโภคจึงจับจ่ายมากขึ้น ส่งผลดีต่อยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเติบโตขึ้นถึง 11% อยู่ที่ 14,843 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และอื่นๆ อยู่ที่ 5,742 ล้านบาท


นายธีรพงศ์ จันศิริ กรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ชี้แจงผลประกอบการไตรมาส 3 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ1,936.79 ล้านบาท ลดลง 5.8% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เนื่องจากยอดขายธุรกิจหลักยังคงเติบโต มีอัตรากำไรแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น ช่วยลดผลกระทบจากภาวะหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน กำลังการผลิตที่ลดลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม

ขณะที่ยอดขายจากธุรกิจหลักยังคงเติบโตอย่างแข็งและอัตรากำไรในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดผลกระทบจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อาหาร โดย TU มียอดขายงวดนี้ 35,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรขั้นต้นเติบโตอยู่ที่ระดับ 1% อยู่ที่ 6,391 ล้านบาท กำไรสุทธิแม้จะลดลง 5.8% แต่ยังคงทำผลงานได้อย่างเข้มแข็ง

โดยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกที่เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับการที่ร้านอาหารต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดให้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานั้น ทำให้ยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเติบโตขึ้นถึง 11 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 14,843 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอื่นๆ ยังคงมียอดขายที่แข็งแกร่ง เติบโต 11.4 เ% อยู่ที่ 5,742 ล้านบาทในไตรมาส 3 นี้

"ผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 64 โดยธุรกิจหลักของเราสามารถทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอ ผู้บริโภคได้ให้ความเชื่อมั่นในสินค้าของเราที่เน้นสุขภาพและโภชนาการในช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และแม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลง แบรนด์และสินค้าของเรายังได้ความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง TU ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น และสอดคล้องไปกับเป้าหมายของบริษัทในการที่จะดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้คนไปพร้อมกับการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้อุดมสมบูรณ์ต่อไป" นายธีรพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ TU ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด TU เข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน บมจ.อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) 10% มูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร ทั้งวัตถุแต่งรส สี และสารปรุงแต่งอาหารหลากหลายชนิด อีกทั้งลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนคุณภาพสูง เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และความร่วมมือนี้จะมีส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของไทยยูเนี่ยนในการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิลและย่อยสลายได้ทั้งหมด 100% สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัทภายในปี 68

นอกจากนี้ TU ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อ บมจ.สงขลาแคนนิ่ง หนึ่งในบริษัทในเครือ เป็น บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายกิจการในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

ขณะที่ด้านการเงินนั้น TU ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริส เรทติ้ง อยู่ที่ระดับ A+ ด้วยแนวโน้มเป็นบวก และได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก Japan CreditRating อยู่ที่ระดับ A- ซึ่งเป็นการจัดอันดับเครดิตองค์กร สำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ โดยแนวโน้มของเครดิตอยู่ในระดับคงที่ และอันดับเครติดองค์กร A- ที่บริษัทได้รับนั้นเป็นระดับเดียวกันกับที่ประเทศไทยได้รับ ในฐานะผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลกที่มีธุรกิจกระจายตัวทั่วโลกและมีความมั่นคงทางรายได้ซึ่้ง TU ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการเงิน Blue Finance หรือการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อมหาสมุทรและอุตสาหกรรมอาหารทะเลโดยรวม ในไตรมาส 3 นี้ TU ได้ออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนอายุ 7 ปีในประเทศไทยและมีจำนวนยอดจองซื้อมากกว่า 2.23 เท่า โดยเมื่อต้นปี TU ได้ออกสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนในประเทศไทยและญี่ปุ่น


กำลังโหลดความคิดเห็น