GULF ตั้งเป้าปี 65 รายได้โต 60% จากการรับรู้โรงไฟฟ้า GSRC อีก 1,325 MW คาด COD มี.ค.และ ต.ค.65 ส่วนปีนี้คาดโต 50% หลังไตรมาส 4/64 รับรู้กำลังผลิตอีก 800 MW ส่วนไตรมาส 1/65 คาดชัดเจนเรื่องแผนการร่วมทุนกับ "Singtel" ลุยธุรกิจ Data Center และต่อยอดธุรกิจ INTUCH ด้านโบรกฯ คาดกำไรปกติงวด 4Q64 จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง QoQ และคาดจะทำระดับสูงสุดรายไตรมาสเป็นประวัติการณ์ แต่ปรับลดประมาณการกำไรปี 64 ลง 7.4% สะท้อนโครงการ COD ล่าช้า แนะนำซื้อ
น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตประมาณ 60% เนื่องจากจะมีการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ เอสอาร์ซี (GSRC) หน่วยที่ 3-4 ขนาดกำลังการผลิตรวม 1,325 เมกะวัตต์ (MW) โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในเดือน มี.ค.และ ต.ค.65
นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการ (M&A) ทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกจำนวนหลายโครงการ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้การดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง
"ปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโต 50% จากแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/64 ที่จะทยอยรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าอีก 3 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวมประมาณ 800 MW ได้แก่ โรงไฟฟ้า GSRC ได้ COD หน่วยผลิตที่ 2 กำลังการผลิตติดตั้ง 662.5 MW เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นที่เรียบร้อยตามกำหนดแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 โครงการโซลาร์รูฟท็อปให้ลูกค้าอีกประมาณ 10 MW และโครงการแม่โขง ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 128 MW ในประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่ม COD ได้ภายในปลายปีนี้หรือช่วงต้นปีหน้า ล่าช้าจากกำหนดการเดิมที่คาดว่าจะอยู่ในเดือนต.ค.64 เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19" น.ส.ยุพาพิน กล่าว
คาด Q1/65 ชัดเจนตั้ง บริษัทร่วมทุนกับ Singtel ทำ Data Center
นอกจากนี้ คาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 1/2565 จะมีการลงนามบันทึกความร่วมมือกับ Singapore Telecommunications Limited (Singtel) เพื่อร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทย ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนด้วยกันเพื่อดำเนินธุรกิจศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย ซึ่งบริษัทมีศักยภาพด้านการผลิตและขายไฟให้ Data Center
ขณะที่ Singtel มีจุดแข็งจากเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และสามารถดึงดูดฐานลูกค้าชั้นนำทั้งจากองค์กรในประเทศและกลุ่มลูกค้าไฮเปอร์สเกลเลอร์ (Hyperscalers) เช่น Facebook, Google และ Microsoft เป็นต้น รวมถึงอาจมีการต่อยอดกับ INTUCH ในการใช้เครือข่ายระบบ 5G ในอนาคตได้อีกด้วย
สำหรับการเข้าลงทุนในบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH นั้น ปัจจุบัน INTUCH ยังอยู่ระหว่างการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจของบริษัทในเครือต่างๆ ซึ่งบริษัทได้มีส่วนร่วม ทั้งการส่งตัวแทนร่วมเป็นคณะกรรมการ และการเข้าบริหารเพื่อวางแนวทางเพื่อให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้มากขึ้น รวมถึงการต่อยอดธุรกิจโดยเน้นการเป็นผู้นำด้านดิจิทัลเซอร์วิส โพรไวเดอร์
เอเซียพลัส คาดผลงานโค้งสุดท้ายนิวไฮ แนะนำซื้อ
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.เอเซียพลัส คาดว่า กำไรปกติ 3Q64 เติบโต 68.9%qoq มาอยู่ราว 2.4 พันล้านบาท หนุนจากเงินปันผลรับ INTUCH และผลประกอบการโรงไฟฟ้า BRK ที่คาดจะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การขายไฟฟ้าให้ EGAT คาดลดลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่วน 4Q64 คาดกำไรปกติขึ้นทำ New High จากการรับรู้ GSRC phase 2 463.8 MWe และการขายไฟฟ้าโดยรวมที่คาดเติบโต QoQ พร้อมรับรู้ส่วนแบ่งกำไร INTUCH เข้ามาในไตรมาสแรก ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2564 ลง 7.4% สะท้อนการเปิด COD ล่าช้า 2 โครงการในปีนี้
ประเมิน FV ปี 65 อยู่ที่ 52 บาท/หุ้น แข็งแกร่งจาก Backlog ในมือที่สูงสุดในกลุ่มกว่า 4.2 พัน MWe หนุนกำไรเติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งยังมี upside ส่วนเพิ่มจากการ Synergy ระยะยาวในธุรกิจ Digital Infrastructure และ Data center แนะนำให้หาจังหวะทยอยซื้อสะสมลงทุน
แต่ปรับลดประมาณการกำไรปี 64 ลง 7.4% สะท้อนโครงการ COD ล่าช้า
อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2564 ลง 7.4% จากเดิมมาอยู่ราว 9.2 พันล้านบาท เพื่อสะท้อนการ COD โครงการที่ล่าช้าออกไป เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดทั่วโลกส่งผลให้การก่อสร้างและการรับซื้อไฟฟ้าเกิดความล่าช้าลง โดยฝ่ายวิจัยได้ปรับเลื่อนสมมติฐานดังนี้
1) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Binh Dai (Phase 1-3) ประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 121.6 MWe เลื่อนการรับรู้โครงการ จากเดิม 215 วัน ในปี 2564 ออกไปเป็นเริ่มรับรู้ในปี 2565 เต็มปี
2) โครงการโรงไฟฟ้า Duqm ประทศโอมาน กำลังการผลิต 159.7 MWe เลื่อนการรับรู้โครงการ จากเดิม 160 วัน ในปี 2564 ออกไปเป็นเริ่มรับรู้ในปี 2565 เต็มปี
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดกำไรสุทธิลง 23.2% จากประมาณการเดิมมาอยู่ราว 7.6 พันล้านบาท เพื่อสะท้อนการรับรู้ผลขาดทุนจากรายการพิเศษ Fx ที่เกิดขึ้นในช่วง 9M64 โดยภายใต้ประมาณการใหม่ กำไรสุทธิ และกำไรปกติ 9M64 คิดเป็น 60.5% และ 67.2% ของประมาณการทั้งปี 2564 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ ตามลำดับ
ลุ้นกำไรขึ้นทำ New high งวด 4Q64
คาดกำไรปกติงวด 4Q64 จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง QoQ และคาดจะทำระดับสูงสุดรายไตรมาสเป็นประวัติการณ์ โดยมีแรงหนุนจากการรับรู้โครงการโรงไฟฟ้า GULF SRC phase 2 กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 70% ที่ 463.8 เมกกะวัตต์ (COD 1 ค.ต.2564) ที่เข้ามาในไตรมาสแรก ประกอบกับการเรียกซื้อไฟฟ้าจากทางภาครัฐที่คาดจะเพิ่มขึ้น QoQ หลังจากแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัวตามสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายลง และการเช้าสู่ช่วง High season ของโรงไฟฟ้าพลังงานลมประเทศเยอรมนี จึงคาดจะช่วยหนุนให้โรงไฟฟ้า BRK มีผลประกอบการที่ดีขึ้นตามฤดูกาล รวมถึงจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น 42.3% ใน INTUCH เข้ามาในไตรมาสแรก ซึ่งคาดจะช่วยชดเชยในส่วนของเงินปันผลรับที่จะไม่มีการบันทึกในงวด 4Q64 ได้บางส่วน