นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริทาเนีย (BRI) บริษัทในเครือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงข้อมูล (แบบไฟลิ่ง) กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 252.65 ล้านหุ้น หรือ 29.60% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.กสิกรไทย และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน คาดว่าจะมีการนำเสนอรายละเอียดชัดเจนในช่วงต้นปี 65 และจะเข้า SET ได้ภายในปีหน้า
วัตถุประสงค์การเข้าระดมทุนของบริษัทในครั้งนี้เพื่อนำเงินที่ได้จากการเสนอขาย IPO ไปใช้รองรับเป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการและการขยายธุรกิจ เพื่อชำระเงินกู้ยืม และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
บริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำของไทย และเป็นบริษัทแกนนำ (Flagship Company ) ของกลุ่ม ORI ในการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยมุ่งมั่นที่จะส่งมอบการอยู่อาศัย ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพ ผ่านการออกแบบด้วยแนวคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมล้ำหน้า พร้อมการบริการที่อบอุ่นเอาใจใส่ดูแล เพื่อให้ลูกบ้านมั่นใจและสบายใจในวิถีชีวิตคุณภาพที่มีความสุขสูงสุด
โดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในการใช้ชีวิตของลูกบ้านได้อย่างรวดเร็วในรูปแบบ Service on Demand ทั้งในด้าน Property Tech Service Tech และ Living Tech ได้แก่ บริการตัดหญ้า จองคิวตัดผม ตัดขนสุนัข ซึ่งจะทำให้บริทาเนียเป็นบริษัทฯ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น
ปัจจุบัน บริษัทมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบ้านแนวราบในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งทำเลที่มีการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วประเทศ ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ซึ่งแบ่งตามกลุ่มเป้าหมายและรูปแบบโครงการ ได้แก่ 1.แบรนด์ "เบลกราเวีย" โครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว 2.แบรนด์ "แกรนด์ บริทาเนีย" โครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด 3.แบรนด์ "บริทาเนีย" โครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม และ 4.แบรนด์ "ไบรตัน" โครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่ปริมณฑลและต่างจังหวัด ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค จากแบบบ้านที่มีความโดดเด่น พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน รูปแบบโครงการและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง รวมถึงบริการที่ตอบสนองความต้องการต่างๆ ของผู้อยู่อาศัย
บริษัทได้ออกแบบบ้านและให้บริการลูกค้าภายใต้แนวคิด A Life You Love ให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถใช้ชีวิตในแบบที่รัก ซึ่งสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการพื้นฐานของผู้อยู่อาศัย (Human Centric) รวมทั้งศึกษาปัญหาต่างๆ (Customer Pain Point) ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้เข้าใจการใช้ชีวิตของผู้อาศัยและออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ โดยไม่หยุดนิ่งที่จะเรียนรู้และพัฒนารูปแบบที่อยู่อาศัยและการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ทำให้แบบบ้านมีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ เป็นแบบบ้านที่เน้นฟังก์ชันการใช้งาน ผ่านคอนเซ็ปต์ B Genius Mode ที่ประกอบด้วยทั้ง B Smart Home Automation, B Smart Design, B Smart Home Services, B Smart Community ทำให้ที่อยู่อาศัยมีฟังก์ชันและนวัตกรรมพร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่อย่างครบถ้วน
นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งพัฒนานวัตกรรมบริการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Solution Platform) งานบริการที่ช่วยเติมเต็มการอยู่อาศัยของลูกบ้านให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยเป็นพันธมิตรร่วมกับแบรนด์ชั้นนำที่มีศักยภาพในงานบริการด้านต่างๆ ที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัย และงานให้บริการดูแลบ้านในด้านต่างๆ จากความใส่ใจในการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขายต่อลูกค้าผู้ซื้อบ้านทำให้เกิดเป็นความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ส่งผลให้เกิดการบอกต่อจากลูกค้าที่เคยซื้อบ้านของบริษัท
แผนงานในอนาคตของบริษัทได้วางเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว เป็นบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยเป้าหมายระยะสั้น มุ่งเน้นสร้างการรับรู้แบรนด์ "บริทาเนีย" และปรับปรุงอัตลักษณ์ให้เป็นที่รู้จัก พร้อมทั้งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้ามากที่สุด ทั้งในด้านคุณภาพ พื้นที่การใช้สอย ความปลอดภัย และความสะดวกสบาย ควบคู่ไปกับการพัฒนาองค์กรให้เกิดความสมดุลด้วยแนวคิดการดำเนินงานอย่างยั่งยืน
ขณะที่เป้าหมายระยะกลางและระยะยาว บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรสู่การเติบโตแบบยั่งยืนและสามารถครองใจลูกค้า เพื่อเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำของไทย โดยมีแผนพัฒนาโครงการภายใน 5 ปี ให้ครอบคลุมกรุงเทพฯ และจังหวัดที่มีศักยภาพ เช่น สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เป็นต้น
นับจากปี 60-64 บริษัทขยายการพัฒนาโครงการอย่างก้าวกระโดด จาก 1 โครงการในปี 60 เพิ่มเป็น 23 โครงการในปี 64 สะท้อนถึงศักยภาพและการเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งการเพิ่มจำนวนโครงการไปยังทำเลศักยภาพต่างๆ ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมโซนภาคตะวันออก โดยเฉพาะในย่านโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)
โดยบริษัทสามารถปิดการขายที่อยู่อาศัยแล้ว 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการรวม 2.02 พันล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.75 หมื่นล้านบาท โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 7 พันล้านบาท และโครงการในอนาคต จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการ 1.4 พันล้านบาท (ณ วันที่ 30 มิ.ย. 64)
ขณะที่ไตรมาส 4/64 บริษัทเตรียมเปิดตัวแคมเปญ "BRITANIA FEEL GOOD" เพื่อสร้างความแตกต่างด้านการให้บริการแก่ลูกค้าและผู้อยู่อาศัย สะท้อนถึงความใส่ใจรายละเอียดกับบริการพิเศษที่ไม่จำกัดแค่ที่อยู่อาศัยในทุกๆ สถานการณ์ แม้ในสถานการณ์โควิด-19 ผ่าน 5 คอนเซ็ปต์
- GOOD CHOICES, YOU CHOOSE ให้การซื้อบ้านเป็นเรื่องง่ายและราบรื่น ด้วยทางเลือกที่มีให้อย่างหลากหลายและตรงใจ
- GOOD DESIGN, OWN YOUR STYLE ก้าวข้ามทุกข้อจำกัดของการออกแบบ ให้ทุกมุมของบ้านสามารถใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้อย่างลงตัว
- GOOD SOCIETY WITH SHARING JOY มอบประสบการณ์การอยู่อาศัยท่ามกลางสังคมคุณภาพ พร้อมด้วยความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
- GOOD PLACES FROM THE BEST LOCATION ให้ทุกจุดหมายของทุกความชอบ เชื่อมต่อการใช้ชีวิตได้ครบไลฟ์สไตล์ด้วยทำเลคุณภาพ
- GOOD CARE WITH EXCLUSIVE FACILITIES ยกระดับชีวิตให้สมบูรณ์แบบด้วยพื้นที่ส่วนกลางให้ได้ทำกิจกรรมโปรด เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการตลอดการอยู่อาศัย
ทั้งนี้ บริษัทคาดหวังที่จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 64 หลังจากผ่านการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่รุนแรงไปเมื่อปลายไตรมาส 2/64 ต่อเนื่องมากถึงไตรมาส 3/64 ทำให้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์หยุดชะงักไปชั่วคราว และส่งผลกระทบมาถึงการขายและการเปิดโครงการของบริษัทในช่วงไตรมาส 3/64 ด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีความชัดเจนในการกลับมาเปิดเมืองและเปิดประเทศจากทางภาครัฐมากขึ้น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศจะเริ่มกลับมาคึกคัก และความเชื่อมั่นของประชาชนกลับมามากขึ้น ทำให้คนจะเริ่มกลับมาตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยอีกครั้ง และปกติไตรมาส 4/64 เป็นช่วงที่มีการขายที่อยู่อาศัยคึกคัก ทำให้ภาพการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์และบริษัทจะเห็นการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องไปจนถึงปี 65
ขณะเดียวกัน ที่อยู่อาศัยแนวราบยังเป็นกลุ่มสินค้าที่คนในปัจจุบันให้ความสนใจและมีความต้องการซื้ออยู่เป็นจำนวนมาก จากการที่คนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการมีพื้นที่ใช้สอยในการใช้ชีวิตและรองรับการทำงานที่บ้านมากขึ้น ประกอบกับมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นในการอยู่อาศัยในบ้าน ทำให้ที่อยู่อาศัยแนวราบได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และสามารถสร้างยอดขายได้ดีมาอย่างต่อดเนื่อง
แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากการแข่งขันที่สูงจากการที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายเห็นโอกาสและพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบเข้ามาในตลาดมากขึ้น ทำให้การแข่งขันรุนแรงและมีซัปพลายแนวราบเข้ามามาก แต่บริษัทยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าในการเลือกซื้อจากการที่เป็นแบรนด์ที่โดดเด่น มีการออกแบบบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และงานบริการหลังการขายที่ดีมาต่อเนื่อง ส่งผลต่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องของยอดขายของบริษัท ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายในปี 64 จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8 พันล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกทำยอดขายไปได้แล้ว 4.15 พันล้านบาท