xs
xsm
sm
md
lg

SCB แนะจับจังหวะลงทุนช่วงตลาดผันผวนเลือกหุ้นสหรัฐฯ-ยุโรป เน้นกลุ่ม Quality growth

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายกำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส Investment Strategy, Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวในงานสัมมนา "SCB Wealth Investment Seminar Business of the Future" หัวข้อ เจาะลึกกลยุทธ์การลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลกว่า ในช่วงที่เหลือของปี มองแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่เป็นการฟื้นตัวในลักษณะที่มีความเหลื่อมล้ำ โดยในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วที่ประชากรได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงและเพียงพอ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ยุโรป จีน จะยังเติบโตได้ดีและส่วนใหญ่เข้าสู่ระดับการเติบโตในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว ขณะที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที้ประชากรได้รับวัคซีนยังไม่มาก หรือมีการพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงรวมถึงไทยยังคงฟื้นตัวช้าทำให้การกลับเข้าสู่การเติบโตระดับก่อนโควิด-19 ช้าตามไปด้วย

ขณะที่อัตรากำไรจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็มีการเติบโตที่ดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยเฉพาะกลุ่ม Quality Growth บริษัทที่ดำเนินธุรกิจรองรับวิถีการดำเนินชีวิตแบบใหม่ เช่น กลุ่มเทค Cybersecurity และพลังงานทดแทน ขณะที่กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เช่น การบิน เรียลเอสเตทประเภทออฟฟิศ โรงภาพยนตร์ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้า จากวิถีการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่นิยม Work form home เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้หลายประเทศมีนโยบายการคลังขนาดใหญ่ออกมา ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงตามมา เช่น เงินเฟ้อ รวมถึงหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นมากขึ้น ซึ่งเป็นผลให้มีแนวทางการลดวงเงินการซื้อสินทรัพย์ และการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามมา นำโดยสหรัฐฯ ที่ค่อนข้างชัดเจนว่าจะมีการลดวงเงินการซื้อสินทรัพย์ในเดือนพฤศจิกายนนี้ และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปลายปีหน้าหรือต้นปีถัดไป แต่จากการสื่อสารที่มีความชัดเจนจะทำให้ตลาดมีความผันผวนลดลง ขณะที่กลุ่มยุโรปจะทยอยตามมา

"จากเม็ดเงินขนาดใหญ่ที่เข้ามาอัดฉีดเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายเริ่มจับตามองเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งเรามองว่าทางการจะเข้ามาดูแลได้ ขณะที่บอนด์ยิลด์ขาขึ้นนั้นจะเป็นการขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและการสื่อสารที่ชัดเจนของผู้กำกับดูแลนโยบายจะช่วยลดความผันผวนได้ ขณะที่หนี้สาธารณะที่สูงขึ้นเร็วนั้น มีแนวทางจัดการอยู่ 2 แนวทางคือการปรับลดรายจ่าย และการจัดเก็บภาษีเพิ่ม ซึ่งขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของแต่ละประเทศ ส่วนปัจจัยเสี่ยงของหุ้นกลุ่ม growth นั้นอยู่ที่การปรับขึ้นภาษี และการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ของภาครัฐซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้ทำอย่างเฉียบพลันเหมือนกันประเทศจีน"

สำหรับภาพการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังแนะการลงทุนในประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งมีอัตราการทำกำไรของธุรกิจเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่ม Quality Growth ซึ่งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วทำได้ดีกว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ส่วนประเทศจีนนั้น เป็นประเทศที่มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเร็วเป็นประเทศต้นๆ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงในด้านเกณฑ์การจัดระเบียบต่างๆ ในหลายธุรกิจ

ส่วนประเทศในภูมิภาคอาเซียน แนะเวียดนาม เน้นกลุ่มหุ้นเติบโต ผสมผสานหุ้นคุณภาพ ลดความเสี่ยงตลาดยังมีโอกาสผันผวนจากนโยบายของเฟด ขณะที่ประเทศไทยนั้นยังมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากพึ่งพาการท่องเที่ยวสูง และมีแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่ลึกมาก่อน ซึ่งจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงขาดดุลอยู่ และส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่า โดยมองค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ให้น้ำหนักไปทาง 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ


กำลังโหลดความคิดเห็น