บล.ทิสโก้ชี้หุ้นไทยเสี่ยงปรับฐานจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเข้มงวดทางการเงิน กังวลเงินเฟ้อพุ่ง และ Bond Yield เด้ง แต่ชี้ยังเป็นโอกาสช้อนซื้อ เพราะเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวใน 6 เดือนข้างหน้าจาก 3 มาตรการรัฐ ได้แก่ เปิดเมือง กระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ และขยายเพดานหนี้สาธารณะหนุนรัฐเร่งใช้จ่าย
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด (Mr.Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co.,Ltd) กล่าวว่า ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เมื่อวันที่ 21-22 กันยายนที่ผ่านมา ส่งสัญญาณเข้มงวด (Hawkish) ทางการเงินเพิ่มขึ้น โดย FED อาจเริ่มต้นลดการซื้อสินทรัพย์ลง (QE Tapering) ในเร็วๆ นี้ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED ในอนาคต (Dot Plot) ในเดือนกันยายนบ่งชี้ว่า FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 จำนวน 3 ครั้ง จากประชุมครั้งก่อนครั้งก่อนที่คาดว่าจะขึ้น 2 ครั้ง นอกจากนี้ ยังได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2567
ทั้งนี้ ภายหลัง FED มีท่าทีเข้มงวดส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) ตอบสนองด้วยการพุ่งขึ้นทะลุระดับ 1.5% เป็นจุดสูงสุดตั้งแต่เดือนมิถุนายน การปรับตัวขึ้นของ Bond Yield แม้จะสะท้อนมุมมองต่อเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และคาดการณ์การปรับตัวขึ้นของภาวะเงินเฟ้อในอนาคต แต่ในขณะเดียวกัน เป็นการเพิ่มขึ้นของอัตราคิดลด (Discount Rate) ที่ใช้สำหรับในการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ ด้วย
จากประเด็นนี้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ประเมินว่า Bond Yield ที่แตะระดับ 1.7-1.8% ขึ้นไป อาจกดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงไทยเกิดการปรับฐานจากระดับการประเมินมูลค่าหุ้นที่ตึงตัวมาก ซึ่งอิงจาก Earning Yield Gap (EYG) ที่ประมาณ 3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตลอดช่วงระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม หากหุ้นไทยเกิดการปรับฐานขึ้นจากประเด็นดังกล่าว บล.ทิสโก้ มองเป็นจังหวะทยอยเข้าซื้อ เนื่องจากมีมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 6 เดือนข้างหน้า จากปัจจัยบวกคือ (1) การทยอยคลายล็อกดาวน์และแผนการเปิดประเทศในแต่ละระยะ (2) การกลับมากระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ผ่านโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" เฟส 3 และ "ทัวร์เที่ยวไทย" และ (3) การขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะขึ้นเป็น 70% ของ GDP แสดงถึงรัฐบาลมีความพร้อมที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า เพราะฉะนั้น เราจึงมองความผันผวนจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของ FED และโอกาสการปรับฐานของตลาดหุ้นโลกจากการปรับตัวขึ้นของ Bond Yield จะเป็นจังหวะในการซื้อสะสม
อีกทั้งช่วงกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายนจะเป็นฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 บล.ทิสโก้ มองว่า ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ออกมาแย่อย่างที่ตลาดกังวล และอาจมีโอกาสเติบโตได้เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) เนื่องจากฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมในไตรมาส 3 ของปีที่แล้วยังค่อนข้างต่ำ จากการหดตัวของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกและการปรับตัวลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องมาจากผลกระทบจากการระบาดในปีที่แล้ว ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนอาจทรงตัวหรือลดลงเพียงเล็กน้อย เพราะน่าจะมีกำไรจากกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมีเข้ามาช่วยสนับสนุนเป็นสำคัญ อานิสงส์จากราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ในระดับสูง (ราคาน้ำมันดิบ Brent ในไตรมาส 3/2564 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 73 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น +69% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และ +6% QoQ
สำหรับหุ้นเด่นในเดือนตุลาคม จะเน้นหุ้นที่คาดงบจะออกมาดี และราคาพักฐานลงมาแล้วก่อนหน้านี้ มีโอกาสฟื้นตัวขึ้น แนะนำ BBL, JWD, MTC, SFLEX, SMPC, SPALI, SPRC และ TWPC ด้านแนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,600 จุด และแนวรับต่อไปที่ 1,590 จุด ส่วนแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,640 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,660 จุดตามลำดับ