นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4/64 คาดจะยังเป็นเทรนด์ขาขึ้น แม้มองว่าการปรับตัวขึ้นของดัชนีจะไม่ได้มีอัปไซด์มากนัก จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 1,600 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายสิ้นปีนี้ที่คาดการณ์ไว้ว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1,600-1,650 จุด แม้ว่าจะมีการเปิดประเทศ แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติคงยังไม่ได้กลับมาเต็มที่
ปัจจัยที่จะเข้ามาสนับสนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้นั้น มองว่า 1.ประเทศไทยไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจ หลังหลายประเทศเกิดปัญหาเงินเฟ้อจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเร็วและยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ขณะที่เศรษฐกิจของไทยยังขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาก เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่เติบโตกว่า 4-6% ทำให้นักลงทุนมองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนในประเทศที่ไม่มีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ
2.ค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่า จากประเทศไทยยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออก และช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวด้วย แต่เชื่อว่าเงินบาทคงไม่อ่อนค่าไปกว่านี้มากแล้ว และปี 65 หากไทยเปิดประเทศไทยจริง นักท่องเที่ยวทยอยกลับเข้ามา ดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะค่อยๆ ดีขึ้นจากที่ขาดดุล และจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
3.การฉีดวัคซีนโควิด-19 มีความคืบหน้าไปมาก และในไตรมาส 4/64 จะมีวัคซีนทางเลือกเข้ามาเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะเข้ามาสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน
4.การเปิดเมือง (Reopening) โดยรัฐบาลมีแผนจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นในเดือน พ.ย.นี้ แม้คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังไม่ได้กลับมามากนัก แต่ถือเป็นการรองรับก่อนนักท่องเที่ยวในอนาคต ซึ่งหากประเทศไทยประสบความสำเร็จทั้งการฉีดวัคซีน และการเปิดเมืองจะนำไปสู่การปรับประมาณการเศรษฐกิจให้สูงขึ้น
5.ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างและทำให้มีเสถียรภาพมากขึ้น
6.ประเทศไทยมีหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัวค่อนข้างมาก หากไทยเข้าสู่โหมดของการเปิดประเทศ จะทำให้นักลงทุนย้ายจากการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีมาสู่หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณเงินทุนไหลเข้าที่ค่อนข้างดูดีขึ้น ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่กล่าวไว้จะส่งผลให้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของเงินเฟ้อในต่างประเทศ ที่อาจจะทำให้เงินไหลเข้ามาในไทย
"มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้ามามากกว่าเดือน ก.ย.64 หรือเข้ามาราว 1.1 หมื่นล้านบาท ส่วนเดือน ส.ค.64 น่าจะอยู่ที่ราว 7 พันล้านบาท ขณะที่เดือน ต.ค.นี้ไม่กี่วันก็เข้ามาแล้วกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าอาจเห็นเงินทุนต่างชาติไหลเข้าในช่วง 3 เดือนสุดท้ายสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนเงินที่จะมาจาก RMF และ SSF ในปีนี้น่าจะมีไม่มากเมื่อเทียบกับในอดีตที่มี LTF" นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในปี 65 ยังเป้าหมายไว้ที่ 1,750-1,800 จุด ฟื้นตัวขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจที่คาดจะเติบโตได้ 3.67% จากปีนี้คาดอยู่ที่ 0.68% และมีโอกาสสูงที่จะเห็นการปรับ GDP ขึ้น หากมีการจัดการกับโควิด-19 ได้ดี การฉีดวัคซีนได้ดี และสามารถเปิดประเทศได้อย่างสมบูรณ์