นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (DPA) กล่าวว่า การปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากจาก 5 ล้านบาท มาเป็น 1 ล้านบาทที่จะเริ่มในวันที่ 11 สิงหาคมที่จะถึงนี้ เป็นการขยายเวลามาจากเดือนสิงหาคมปี 2563 โดยให้การดูแลคุ้มครองเงินฝากของธนาคารและสถาบันการเงิน 35 แห่งที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองทั้งเงินฝากในบัญชีสะสมทรัพย์ ออมทรัพย์ ประจำ บัตรเงินฝากของทั้งนิติบุคคล บุคคลธรรมดา และชาวต่างชาติที่มีบัญชีเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่นับรวมเงินฝากสกุลต่างประเทศ พรีเพด อีมันนี่ และคริปโต เคอร์เรนซี โดยปัจจุบันมีจำนวนบัญชีที่อยู่ในเกณฑ์ได้รับคุ้มครองอยู่กว่า 98% และผู้ที่จะได้รับเงินฝากคืนจะเป็นกรณีที่สถาบันการเงินที่มีบัญชีอยู่ปิดกิจการ หรือถูกเรียกคืนใบอนุญาต จะได้รับเงินฝากคืนทางพร้อมเพย์ธนาคารที่ผูกบัญชีไว้โดยอัตโนมัติภายใน 30 วัน หรือในรูปแบบของเช็ค
ทั้งนี้ รูปแบบการคุ้มครองเงินฝากจะคิดจากเกณฑ์ลูกค้าแต่ละรายในแต่ละธนาคาร ยกตัวอย่าง ผู้ฝากจะมีกี่บัญชีเงินฝากก็ได้ในธนาคารหนึ่งวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาทได้รับคุ้มครองเต็มจำนวน หรือมีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาท จะได้รับความคุ้มครอง 1 ล้านบาท ส่วนที่เกินไม่ได้รับความคุ้มครอง ถัดไปผู้ฝากรายเดิมที่มีบัญชีอยู่ในธนาคารที่สอง-สาม ก็เป็นไปหลักเกณฑ์เดียวกัน ขณะเดียวกัน เงินฝากส่วนที่ไม่ได้รับความคุ้มครองมีสิทธิที่จะได้รับคืน เพียงแต่ต้องรอการชำระบัญชีเสร็จสิ้นและรอตามลำดับการชำระคืนเจ้าหนี้ตามกฎหมาย
"สถาบันคุ้มครองเงินฝากเริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2551 มีการปรับลดวงเงินคุ้มครองมาเป็นลำดับตามความเหมาะสม ซึ่งวงเงินคุ้มครองล่าสุดเป็นไปตามมาตรฐานสากล ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยเองได้มีการตรวจสอบความแข็งแรงของสถาบันการเงินอย่างเข้มงวดและมองว่ายังมีความแข็งแรงอยู่มาก โดยเงินฝากในแต่ละปีมีจำนวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 ปีประมาณ 4-5% ขณะเดียวกันกลุ่มที่มีวงเงินฝากเกินกว่า 1 ล้านบาท มีการดูแลลงทุนที่มีความซับซ้อนและกระจายเงินฝากส่วนหนึ่งไปลงทุนที่หลากหลายไปบ้างแล้ว การเคลื่อนไหวของเงินฝากในช่วงที่จะมีการลดวงเงินคุ้มครองไม่น่าจะเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนการขยายไปที่อีมันนี่นั้นอยู่ระหว่างการศึกษา"
