เป็นประเด็นร้อนที่ยังหาบทสรุปไม่ได้กับโครงการแอชตัน อโศก โครงการบริษัทอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หลังจากที่ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมหรู สูง 50 ชั้น ซึ่งตัวโครงการมีมูลค่าสูงถึง 6,481 ล้านบาท
ล่าสุด ทางสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้นำเสนอสรุป 4 ประเด็นกรณีศึกษาคอนโด "แอชตัน อโศก" ซึ่งเป็นข้อความที่ระบุอยู่ในเว็บไซต์ของสมาคมฯ (https://asa.or.th) ว่า ทางสมาคมฯ ได้ติดตามข่าวสารเรื่องแอชตัน อโศก มาตั้งแต่เริ่มมีการร้องเรียน จนถึงปัจจุบันศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาให้กรุงเทพมหานคร ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น “เพิกถอนใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร หรือเปลี่ยนแปลงการใช้อาคาร โดยไม่ยื่นคำขอรับใบอนุญาต ตามมาตรา 39 ทวิ โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกหนังสือ ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก” โดยคำพิพากษานี้แม้จะยังต้องอุทธรณ์คำพิพากษาในชั้นศาลปกครองสูงสุด แต่ก็มีความสำคัญและเป็นที่สนใจของผู้ประกอบวิชาชีพสถาปนิกหลายท่าน
(อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง : CEO อนันดาฯ แจงปมร้อน 'แอชตัน อโศก' ยันทุกอย่างถูกต้อง ดึงลูกบ้านร้องอุทธรณ์ศาลปกครอง https://mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075578 )
(นายก ส.บริหารอาคารชุดฯ ชี้ปมร้อน 'แอชตัน อโศก' เผยใบอนุญาตก่อสร้างอาจไม่ชอบด้วย กม. https://mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075033)
สมาคมฯ จึงได้คัดกรองประเด็นที่น่าสนใจในคดีนี้ที่หลายๆ สื่อมิได้นำเสนอข้อเท็จจริงในส่วนนี้เพื่อทำการเผยแพร่ให้สมาชิกและผู้สนใจทุกท่านได้ใช้เป็นกรณีศึกษา ดังนี้
ข้อ 1.คดีนี้มีประเด็นที่ถูกฟ้อง 5 เรื่อง แต่มีประเด็นเดียวเท่านั้นที่ศาลพิพากษาว่าเป็นความผิด คือ การออกใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้าง เป็นการกระทำที่มิชอบ เนื่องจากผู้ประกอบการมิสามารถนำที่ดินบางส่วนของ รฟม. มาเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งอาคาร เพื่อที่จะทำให้อาคารดังกล่าวมีด้านหนึ่งของที่ดินกว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะกว้างไม่น้อยกว่า 18 เมตร” เพราะที่ดินดังกล่าวจะอย่างไรก็มิใช่ที่ดินของผู้ประกอบการ มิใช่ทางสาธารณประโยชน์ และการอนุญาตให้ใช้ที่ดินของ รฟม. ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการเวนคืนที่ดิน
ข้อ 2.ในคดีนี้ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา ผู้อำนวยการสำนักการโยธา และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้การมีสาระสำคัญว่า คณะกรรมการพิจารณาคำขออนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารของ กทม.ได้พิจารณาแบบที่ผู้ประกอบการยื่นขออนุญาตมาแล้วพบเห็นว่า “แบบที่ยื่นไม่มีส่วนใดขัดประกาศข้อบัญญัติ กฎกระทรวง พรบ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 หรือกฎหมายอื่นของ กทม.” เพราะว่า
ข้อ 3.ก่อนการแจ้งการก่อสร้างตามมาตรา 39 ทวิ ผู้ประกอบการได้มีหนังสือหารือไปยังกรมโยธาธิการและผังเมือง และกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้มีหนังสือตอบข้อหารือของผู้ประกอบการว่า “หากที่ดินที่จะใช้เป็นที่ตั้งของอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ แม้จะมิได้อยู่ติดถนนสาธารณะ หากมีที่ดินแปลงอื่นที่สามารถใช้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ สำหรับอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษนั้นได้ตลอดตราบที่อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษตั้งอยู่ และสามารถใช้เป็นทางเข้าออกของรถดับเพลิงได้สะดวก ก็จะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33”
ดังนั้น การที่ผู้ประกอบการนำที่ดินบางส่วนของ รฟม. มาเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งอาคารเพื่อที่จะทำให้อาคารดังกล่าวมีด้านหนึ่งของที่ดินกว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะกว้างไม่น้อยกว่า 18 เมตร กทม.จึงเห็นว่าถูกต้องตามกฎกระทรวงแล้ว
ข้อ 4.และในกรณีเช่นเดียวกันนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายไว้ตามที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ร้องขอในการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ประกอบการรายหนึ่งว่าถูกต้องตามกฎกระทรวงกำหนด
ทั้งหมดของคำพิพากษานี้ เป็นคำพิพากษาที่สั่งให้กรุงเทพมหานคร ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นเพิกถอนการอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารนี้
แต่จะอย่างไรก็ดี คดีนี้ยังคงต้องมีการอุทธรณ์ในชั้นศาลปกครองสูงสุดต่อไป และเนื่องจากคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด อาคารหลังนี้ก็ยังคงสามารถใช้งานได้ตามปกติต่อไป หรือแม้กระทั่งคดีถึงที่สุดแล้ว ก็ใช่ว่าจะสามารถทำการรื้อถอนได้ง่ายๆ อันมี Case Study ให้เห็นในหลายโครงการ
แม้ว่าประเทศไทยเราจะใช้กฎหมายที่ยึดถือตัวบทเป็นหลัก แต่จากกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เจตนารมณ์ กับตัวบทกฎหมาย อันไหนที่เราควรให้ความสำคัญมากกว่ากัน หากผู้ปฏิบัติมีข้อสงสัยตามกฎหมายควบคุมอาคารขึ้นมาอีก ผู้ปฏิบัติควรที่จะหารือหน่วยงานไหนดี และที่สำคัญที่สุด กรณีเช่นนี้คงไม่ได้มีเพียงที่เดียวทั้งในอดีตและอนาคต ข้อดีที่เกิดจากเหตุการณ์นี้ คงเป็นประเด็นให้เกิดการพัฒนากฎหมายไปสู่ความชัดเจนให้กับทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ใช้กฎ สถาปนิก และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการพัฒนาของประเทศในภาพรวม