เครดิต สวิสประเมินภาพการลงทุนครึ่งหลังปี 64 ชี้สภาวะตลาดยังคงเป็นปัจจัยหนุนสำหรับสินทรัพย์ทางการเงิน ขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว ซึ่งเป็นผลจากการเร่งฉีดวัคซีนและการทยอยเปิดเศรษฐกิจในประเทศหลักๆ ของโลก
เครดิต สวิส ฉายภาพรวมการลงทุนในครึ่งหลังปี 2564 โดยมองว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าเป็นผลมาจากการเร่งฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจบริการในวงกว้าง โดยอาจเติบโตสูงถึงร้อยละ 5.9 ในปีนี้ และร้อยละ 4 ในปี 2565 แต่อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงและความกังวลจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มหารือลดวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ เราคาดว่าการเข้าซื้อสินทรัพย์จะชะลอตัวในปลายปี 2564 และมีการปรับขี้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566
นอกจากนี้ อัตราการฉีดวัคซีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศอุตสาหกรรม ส่งผลให้การเว้นระยะห่างทางสังคมมีความจำเป็นน้อยลง การทยอยกลับมาเปิดเศรษฐกิจจะนำไปสู่การฟื้นตัวด้านการเติบโตของรายได้และการจ้างงานใหม่ อย่างไรก็ตาม สายพันธุ์ไวรัสที่กลายพันธุ์มากขึ้นเป็นภัยคุกคามต่อการสร้างภูมิคุ้มกันจากวัคซีน และอาจต้องมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ มีแนวโน้มสูงที่จะผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส นโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary Fiscal Policy) ของยุโรปมีการชะลอตัวลง แต่โครงการชดเชยให้พนักงานที่ถูกพักงานชั่วคราวคาดว่าจะดำเนินต่อไปจนถึงปลายปี 2564 และยังคงสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการปิดเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ เศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาคจะมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ขึ้นอยู่กับอัตราการเข้ารับการฉีดวัคซีน การตอบรับนโยบายของรัฐ และอัตราเงินเฟ้อจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนน่าจะแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาสหน้า และเศรษฐกิจของจีนยังคงความแกร่งต่อไป ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่น ละตินอเมริกา ตลาดเกิดใหม่ในยุโรป และเอเชียใต้ ต้องเผชิญกับปัญหาในระดับท้องถิ่นต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
จอห์น วูดส์ Chief Investment Officer ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเครดิต สวิส กล่าวว่า “การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเอเชียจะยังคงดำเนินไปอย่างแข็งแกร่ง โดยประเทศในเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่น มีแนวโน้มการเติบโตที่ร้อยละ 7.5 ในปี 2564 และร้อยละ 5.7 ในปี 2565 ส่วนเอเชียเหนือคาดว่าจะเติบโตได้ อันเป็นผลมาจากความต้องการเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของประเทศอินเดียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น่าจะไล่ตามขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากมีความต้องการขยายตัวไปสู่กลุ่มผู้ผลิตสินค้าอื่นๆ อีกทั้งการท่องเที่ยวก็เริ่มฟื้นตัว ส่วนหุ้นยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะกลาง แต่เรายังต้องใช้กลยุทธ์แบบ strategic weights สำหรับในเอเชียเรามีมุมมองที่ดีต่อตราสารทุนเกาหลีและไทย อันเป็นอานิสงส์จากสถานการณ์ไมโครชิปขาดตลาด ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลกที่กำลังเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น”
ขณะที่ เอ็ดวิน ตัน Head of Wealth Management Onshore and Head of Investment Advisory Solutions ประจำประเทศไทยของ เครดิต สวิส กล่าวว่า “ความเสี่ยงอันเนื่องมาจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นค่อนข้างคงตัว มีภาวะการขาดดุลแฝด (twin deficits - ภาวะเศรษฐกิจที่ขาดดุลทั้งดุลการคลังและดุลบัญชีเดินสะพัด) ซึ่งส่งผลกระทบต่อโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะดำเนินนโยบายการเงินเพื่อให้กลับสู่สภาวะปกติ (Fed Policy Normalization) สภาวการณ์นี้ทำให้ปัจจัยพื้นฐานระดับภูมิภาคและระดับประเทศมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น เรายังมองสกุลเงินในเอเชียเป็นเชิงบวก ถึงแม้ว่าสกุลเงินในเอเชียเหนือ โดยเฉพาะสกุลเงินหยวนและวอนเกาหลีใต้มีแนวโน้มที่จะแข็งค่ามากขึ้นในอนาคตอันใกล้ เป็นผลมาจากดุลการชำระเงินที่เข้มแข็ง เราคิดว่าการฟื้นตัวของราคาทองคำจะเริ่มชะลอตัวลง หาก Fed เริ่มหารือลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ และแนวโน้มผลตอบแทนจากความเสี่ยงโดยรวมเริ่มชะลอตัวลง”
แนวโน้มของเศรษฐกิจและสกุลเงินในประเทศหลัก
ภาพรวมสหรัฐอเมริกา เครดิต สวิส คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตในอัตราร้อยละ 6.9 ในปี 2564 ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากภาวะถดถอยอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงกว่าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ตั้งเป้าไว้เป็นการชั่วคราว แต่ยังไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในระยะเวลาอันใกล้ สำหรับมุมมองของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเราเชื่อว่าจะยังคงอ่อนค่าลงไปอีก เมื่อเทียบกับสกุลเงินวัฏจักรอย่างดอลลาร์แคนาดา ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และโครนนอร์เวย์ แต่มีมุมมองที่เป็นกลางมากขึ้นสำหรับสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า เช่น ฟรังก์สวิส หรือเงินเยน
ภาพรวมในยูโรโซน คาดว่ายุโรปจะเติบโตร้อยละ 4.2 ในปี 2564 เศรษฐกิจของยุโรปนั้นดีขึ้นอย่างมาก อัตราการฉีดวัคซีนในยุโรปเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าอัตราการฉีดวัคซีนนั้นจะใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมากขึ้น ทำให้ประสบความสำเร็จในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้เร็วกว่าที่กังวลไว้ก่อนหน้านี้ การเปิดประเทศจะเป็นการเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเขตยุโรปได้เป็นอย่างมาก ยุโรปน่าจะมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วในครึ่งปีหลัง เราจึงยังคงคาดการณ์ในเชิงบวกสำหรับสกุลเงินยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นถึง 1.24 ใน 12 เดือนข้างหน้า
ภาพรวมสาธารณรัฐประชาชนจีน เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และเราคาดว่าจีนจะเติบโตร้อยละ 8.2 ในปี 2564 แม้ว่าการสนับสนุนนโยบายทางการคลังและการเงินในปีที่ผ่านมาจะล่าช้า อุปสงค์ภายนอกยังถือเป็นกำลังขับเคลื่อนหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและค่าเงินหยวน ดุลการค้าที่แข็งแกร่งและเม็ดเงินที่ไหลเวียนอยู่เฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ทำให้มุมมองของเราที่มีต่อค่าเงินหยวนยังดำเนินไปในทิศทางบวก ถึงแม้จะมีความกังวลของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับการเก็งกำไรค่าเงิน อันเนื่องมาจากการแข็งค่าของเงินหยวนก็ตาม
ภาพรวมญี่ปุ่น เศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นคาดว่าจะเติบโตร้อยละ 1.9 โดยความท้าทายด้านประชากรศาสตร์ของการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุนั้นชดเชยด้วยความสามารถในการผลิตที่มั่นคง อันเนื่องมาจากนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่มีมาต่อเนื่อง เงินเยนซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำยังคงอ่อนตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
มุมมองสินทรัพย์หลัก
ตราสารทุน ยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะกลาง เนื่องจาก Valuation เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และดัชนีความเชื่อมั่นที่ลดลงได้รับการชดเชยด้วยเงื่อนไขการสนับสนุนทางการเงิน และการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของบริษัทจดทะเบียน ทั้งผลประกอบการและกำไร เราสนใจตลาดตราสารทุนที่อิงวัฏจักรเศรษฐกิจ เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี และสเปน โดยเน้นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากวัฏจักรเศรษฐกิจ เช่น กลุ่ม Financials และ กลุ่ม Materials ในส่วนเอเชีย เราให้ความสนใจตราสารทุนเกาหลีและไทย
จีน เรายังคงมีมุมมองที่เป็นกลางต่อตราสารทุนจีน เนื่องจากการเติบโตที่เริ่มชะลอตัวลงหลังการฟื้นฟูของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วเพื่อกลับสู่สภาวะปกติ ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลจากหน่วยงานภาครัฐของจีนมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Internet และกลุ่ม Property ซึ่งลดความเชื่อมั่นในหมู่นักวิเคราะห์ แม้ว่า Valuation จะมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น แต่ยังไม่มีปัจจัยที่จะทำให้ตราสารทุนจีน outperform ตลาดโลกและตลาดเกิดใหม่
ประเทศไทย เราให้ความสำคัญกับตราสารทุนไทย ซึ่งน่าจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของวัฏจักรเศรษฐกิจโลก และการขึ้นราคาน้ำมันอันเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของกลุ่มอุตสาหกรรมที่อิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจซึ่งมีสัดส่วนการใช้น้ำมันมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ไทยได้เริ่มโครงการกระตุ้นการฉีดวัคซีน ซึ่งน่าจะเติมความหวังในการช่วยดึงการท่องเที่ยวระหว่างประเทศให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง
การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd immunity) และวิถีชีวิตแบบ New Normal เนื่องจากการปูพรมฉีดวัคซีนในตลาดที่พัฒนาแล้วดำเนินไปอย่างรวดเร็ว การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จึงเป็นเป้าหมายที่ไม่ไกลเกินเอื้อม เราเห็นว่ามีกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีน อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (สนามบินและสายการบิน) และธุรกิจการค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์หลักจากการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างประเทศ รวมไปถึงกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ เราคาดว่าอุตสาหกรรมที่อิงวัฏจักรเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มพลังงานหรือกลุ่มการเงิน จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ซึ่งจะสร้างความแข็งแกร่งและเปลี่ยนจากหุ้นที่มีการเติบโตสูง (Growth) เป็นหุ้นคุณค่า (Value) ได้
การสร้างความยั่งยืน (ESG) ของจีน การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจแบบไร้การปล่อยคาร์บอนภายในปี 2603 ของจีนจะสร้างโอกาสมหาศาลให้อุตสาหกรรมในหลายภาคส่วน เช่น ยานพาหนะที่ใช้พลังงานทดแทนจะมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 20 ภายในปี 2568 ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนความต้องการแบตเตอรี่ในตลาดมากขึ้น กฎระเบียบข้อบังคับและการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายจะเป็นอีกแรงผลักดันส่งผลให้อุตสาหกรรมต่างๆ หันมาใช้พลังงานแบบหมุนเวียน เช่น ต้นทุนแผงโซลาร์เซลล์ที่ลดลงถึงร้อยละ 90 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาทำให้แผงโซลาร์เซลล์กลายเป็นแหล่งพลังงานที่ถูกกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล เราชอบบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานแสงอาทิตย์ แบตเตอรี่ และสาธารณูปโภคของจีน ซึ่งมีการซื้อขายกันโดยใช้ distressed valuations
สำหรับตราสารหนี้ ผลตอบแทนจากพันธบัตรทั่วโลกจะลดลง อย่างไรก็ตาม พันธบัตรจีนและพันธบัตรอื่นๆ ในเอเชียยังคงให้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ และคาดว่าจะ outperform
เราให้ความสนใจ Asian USD credit ใน 12 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะมีผลตอบแทนที่ร้อยละ 3 สำหรับ Asian investment grade USD credit และร้อยละ 6-8 สำหรับ Asian high-yield USD credit
นอกจากนี้ เรายังสนใจ Chinese RMB bonds ที่ออกจำหน่ายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะมีผลตอบแทนที่ร้อยละ 5 ใน 12 เดือนข้างหน้า
หุ้นโภคภัณฑ์ (Commodities) ปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งตามการผลิตของกลุ่มอุตสาหกรรมโลก (ไม่รวมจีน) โดยมีแรงส่งที่เกื้อหนุนแต่การฟื้นตัวของหุ้นเริ่มมีความเสถียรมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเติบโตในจุดสูงสุดเริ่มที่จะใกล้เข้ามาเนื่องจากปัญหากำลังการผลิตไม่เพียงพอเริ่มที่จะคลี่คลาย หุ้นกลุ่มแร่โลหะได้ชะลอตัวลงด้วยอัตราการเติมสินค้าที่ลดลง และอาจนำไปสู่ภาวะสินค้าล้นตลาดในไม่ช้า
การลงทุนทางเลือก (Alternative investments) ข่าวความคืบหน้าของวัคซีนได้กระตุ้นการฟื้นตัวในกลุ่มย่อยของอุตสาหกรรมที่อิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจ เช่น การค้าปลีกและสำนักงาน แต่โอกาสที่จะขึ้นต่อนั้นค่อนข้างจำกัด เนื่องจาก valuation นั้นไม่น่าสนใจ และผลกระทบอันเนื่องมาจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และมาตรการการทำงานที่บ้าน