บล.ทรีนีตี้ คาดครึ่งปีหลัง 64 กำไรกลุ่มแบ่งเสี่ยงอ่อนตัวลงจากครึ่งปีแรก เหตุตั้งสำรองเพิ่มจากความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ หลังเจอโควิด-19 กดดัน และหากกินเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพหนี้ทั้งระบบมากขึ้น อีกทั้งมองว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง แนะนำเลือกแบงก์รายตัว BBL-KBANK-TISCO
นายธนภัทร ฉัตรเสถียร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มผลดำเนินงานของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์งวดครึ่งปีหลัง 64 น่าจะอ่อนตัวลงจากงวดครึ่งแรกของปี โดยครึ่งปีแรกที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศผลดำเนินงานออกมาดีกว่าที่คาด
สำหรับปัจจัยที่คาดว่ากดดันกลุ่มธนาคารในครึ่งปีหลัง จะมีค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่อาจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธนาคารที่ตั้งสำรองส่วนเกินไว้ไม่มากในไตรมาส 2/64 ขณะที่สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ยังมีความไม่ชัดเจนว่าจะคลี่คลายเมื่อใด ซึ่งหากกินระยะเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพหนี้ทั้งระบบมากขึ้นเรื่อยๆ และจะเป็นปัจจัยกดดันต่อแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลัง รวมทั้งคาดว่าจะมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่อาจลดลง
สำหรับผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2/64 ของธนาคารโดยเฉพาะที่ฝ่ายวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ 6 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) และธนาคารทิสโก้ (TISCO) มีกำไรสุทธิดีกว่าที่เราคาดไว้ 7% โดยมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 34,227 ล้านบาท อ่อนตัว 9% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังเติบโต 57% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ฟันธงครึ่งปีหลังต้องตั้งสำรองเพิ่ม แนะนำเลือกลงทุนรายตัว
โดยปัจจัยหนุนทั้ง 6 ธนาคารมาจากการขยายตัวของสินเชื่อที่เติบโตราว 2% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย (KTB) ที่เติบโตถึง 5.4% จากความต้องการสินเชื่อของภาครัฐ ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยของกลุ่มปรับตัวลง ทั้งในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมและกำไรจากการวัดมูลค่าเงินลงทุน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจและสภาวะตลาดหุ้นเป็นปัจจัยกดดัน
“ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาจะเห็นว่าธนาคารมีการตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้นราว 14% จากไตรมาสก่อนหน้าและสูงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าราว 3% แม้สัดส่วน NPL ของกลุ่มจะปรับตัวลงจาก 3.64% ในไตรมาสก่อนเหลือ 3.59% อย่างไรก็ตาม บางธนาคาร เช่น KTB SCB TTB และ TISCO ตั้งสำรองต่ำกว่าที่คาด จึงทำให้คาดว่า ในงวดครึ่งปีหลังจะต้องตั้งสำรองสูงขึ้น” นายธนภัทร กล่าว
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารนั้นมองว่า ราคาหุ้นยังขาดปัจจัยหนุนระยะสั้น แนะนำ Selective Buy โดยเลือก Top pick คือ BBL ให้ราคาเหมาะสมพื้นฐานที่ 151 บาท KBANK ให้ราคาเหมาะสมพื้นฐานที่ 158 บาท และ TISCO ให้ราคาเหมาะสมพื้นฐานที่ 106 บาท
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 2/64 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 10 แห่ง พบว่า ทำกำไรได้รวม 51,261 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.93% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 69.15% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด (มหาชน) มีกำไรสูงสุด หลังบุ๊กกำไรขายหุ้น TIDLOR ขณะที่งวด 6 เดือนแรกปี 64 ธนาคารพาณิชย์ 10 แห่ง ทำกำไรรวมอยู่ที่ 97,892 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.89% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ทำกำไรเติบโตมากสุด 104.40% และกำไรหดตัวมากสุด คือ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ CIMBT