ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)(BAY) และบริษัทในเครือ เผยผลประกอบการไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 14,542 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,507 ล้านบาท ส่วนครึ่งแรกปี 2564 มีกำไรสุทธิ จำนวน 21,048 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมออกมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาภาระทางการเงินแก่ลูกค้าผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อย่างต่อเนื่อง หนุนสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 3.5% ภายใต้การบริหารความเสี่ยงด้วยความรอบคอบระมัดระวัง โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ในระดับต่ำเพียง 2.03%
ทั้งนี้ กำไรสุทธิ จำนวน 21,048 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่ง 55.5% ในครึ่งแรกของปี 2564 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย จากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นในบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) (เงินติดล้อ) ในไตรมาส 2 ของปี 2564 และหากไม่รวมการบันทึกกำไรพิเศษ กำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติสำหรับครึ่งแรกของปี 2564 ลดลง 5.0% หรือจำนวน 678 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยลดภาระทางการเงินให้ลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยืดเยื้อ
ด้านเงินให้สินเชื่อรวม สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ 3.5% หรือจำนวน 9,775 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกรุงศรีในการให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ SME ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อเพื่อรายย่อยลดลง 1.2% และ 1.6% ตามลำดับ ขณะที่เงินรับฝาก เพิ่มขึ้น 3.1% หรือจำนวน 56,434 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2563 โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากออมทรัพย์ และมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.08% ในครึ่งแรกของปี 2564
ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จำนวน 11,913 ล้านบาท หรือ 75.0% จากช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นในบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)
ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 43.4% เทียบกับ 41.4% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ทั้งนี้ หากรวมกำไรจากการขายหุ้นเงินติดล้อ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 37.1%
ด้านอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 2.03% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 เมื่อเทียบกับ 2.00% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 มีอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ในระดับสูงที่ 175.8% เมื่อเทียบกับ 175.1% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 17.80% ลดลงจาก 17.92% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563
นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรุงศรียังคงให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่านมาตรการด้านสินเชื่อและการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการสนับสนุนด้านสภาพคล่องและสินเชื่อฟื้นฟูเพิ่มเติมตามความจำเป็น
นอกจากนี้ ธนาคารจะดำเนินการติดตามและจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างรอบคอบระมัดระวังเพื่อความแข็งแกร่งของพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร และมุ่งเน้นที่การกำกับดูแลด้วยความเข้มงวดเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าธนาคารมีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองอยู่ในระดับสูงและเพียงพอที่จะรองรับกับความท้าทายทางการเงินและเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
“แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับอานิสงส์จากการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า การแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นจากการกลายพันธุ์ของไวรัสใน
ไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความล่าช้าและเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะผลกระทบต่ออุปสงค์ภายในประเทศและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กรุงศรีจึงปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จาก 2.0% มาอยู่ที่ 1.2% ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2564”